BumQ 4

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 2 ภัยเงียบ

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 2 ภัยเงียบ
ทำไมคนไข้อย่างบิตเนอร์จึงไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าตนเป็นโรคไต ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าไตทำงานอย่างไร อวัยวะรูปร่างคล้ายถั่วแดงสองเม็ดขนาดเท่ากำปั้นมีระบบกรองอยู่ภายใน ซึ่งสามารถฟอกโลหิตได้ราววันละ 190 ลิตร หรือเท่ากับน้ำอัดลม 500 กระป๋องโดยจะขับของเสียออกมาวันละ 2 ลิตร


โรคไตส่วนใหญ่มีความผิดปกติอยู่ที่ระบบกรองปัสสาวะ ไตเสียสามารถขับถ่ายปัสสาวะได้ แต่กรองของเสียในร่างกายออกได้น้อยลง ทำให้เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย

อาการที่บอกว่าไตผิดปกติคือ มีปริมาณโปรตีนในปัสสาวะสูงกว่าปกติ โปรตีนเป็นสารโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของร่างกาย ไตที่สมบูรณ์จะรักษาโปรตีนไว้และขับเฉพาะของเสียในร่างกายออก แต่ไตที่เริ่มเสียไม่อาจรักษาโปรตีนไว้ได้ตามปกติ

ไตมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง หากไตเสียก็จะส่งผลเสียไปทั่วร่างกาย กล่าวคือทำให้หลอดเลือดหดตัว ความดันโลหิตสูง อาจมีผลกระทบต่อระบบสมองและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังพบว่ามีอาการโลหิตจางอย่างรุนแรงได้บ่อย นายแพทย์ โจเซฟ วี. บอนเวนทรี ผู้อำนวยการร่วมแผนกวิทยาศาสตร์สุขภาพและเทคโนโลยีแห่งฮาร์วาร์ด-เอ็มไอที กล่าวว่า "กระดูกของผู้ป่วยจะเริ่มเสื่อม เนื่องจากไตไม่สามารถกำจัดฟอสฟอรัส จึงทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดลดต่ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนซึ่งต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ จึงทำให้กระดูกเปราะบางลงเรื่อยๆ"

นเรามีชีวิตอยู่ได้แม้จะมีไตข้างเดียว แต่การมีไต 2 ข้าง ทำให้ร่างกายมีอวัยวะสำรองใช้เมื่อไตข้างหนึ่งเสียไป ส่วนที่ดีจะทำงานทดแทนจะกระทั่งส่วนที่สำรองไว้หมดไป

หมอบอนเวนทรีกล่าวว่า "ผู้ป่วยที่มีอาการไตวายรุนแรงซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรคไตและต้องล้างไตทันทีในวันนั้น อาจไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้ายแรง"
โรคไตส่วนใหญ่จะลุกลามไปเรื่อยๆ ไตที่เสียไปแล้วไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่พบว่า ผู้เป็นโรคไตหลายราย หากได้รับการวินิจฉัยในระยะต้นๆ อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคได้มากขึ้น

(อ่านต่อที่ " วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 3 " )