เพิ่มพลังวิถีธรรมชาติ
ลองแปดวิธีง่ายๆในการสร้างเสริมกำลังวังชา
ดิฉันนอนวันละแปดชั่วโมง กินอาหารครบห้าหมู่และออกกำลังสม่ำเสมอ แถมยังมีเพื่อนดี งานดี และครอบครัวดี ซึ่งล้วนแต่เติมพลังให้ชีวิต แต่ก็ยังรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง แค่จะอยู่ดูข่าวตอนสี่ทุ่มยังไม่ไหว เวลาตื่นตอนเช้าก็รู้สึกอ่อนเพลียหมดแรง เลยเชื่อว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่
เมื่อไปตรวจร่างกายก็ไม่พบอะไรผิดปกติร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์หรืออาการอ่อนเพลีย หมอสรุปว่าเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งมีผลให้ไม่มีจิตใจจะทำอะไร
ดิฉันจึงเริ่มมองหาวิธีช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยาหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตมากนัก ในที่สุดก็ค้นพบเทคนิคแปดประการซึ่งใช้เวลาไม่มากและไม่ต้องฝึกฝน หากคุณมีสุขภาพดีแต่รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ลองใช้วิธีกระตุ้นกำลังวังชาดังต่อไปนี้
1.หายใจลึกๆ การหายใจลึกทำให้หัวใจเต้นช้าลง ช่วยลดความตึงเครียดของระบบประสาท ความดันเลือด และปริมาณฮอร์โมนที่กระตุ้นความเครียด ฝึกหายใจลึกๆราว 10-15 นาทีทุกวันและทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ปล่อยให้อากาศเข้าสู่ช่องอกและช่องท้องเต็มที่ก่อนหายใจออกอย่างช้าๆ
2.ทำสมาธิ คนทั่วไปนิยมทำสมาธิเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ด้วย วิธีก็คือหาที่เงียบๆ นั่งให้สบาย ปล่อยจิตใจให้ผ่อนคลาย หลับตา และนึกถึงคำธรรมดาๆสักคำเช่นคำว่า หนึ่ง หากความคิดอื่นแทรกเข้ามาก็ให้กลับไปคิดถึงคำเดิมตลอด
3.ยืดเส้นช้าๆ การออกกำลังกายโดยยืดเส้นให้ผลเช่นเดียวกับการหายใจลึก เพราะลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากสารที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายเพื่อนำออกซิเจนไปสู่สมองได้ดีขึ้น
เริ่มวันใหม่ด้วยการยืดเส้นเบาๆ การยืดหลังจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย วิธีดีที่สุดอย่างหนึ่งคือท่าโก่งหลังแบบแมว โดยใช้มือและเข่าแตะพื้น แล้วโก่งหลังขึ้นช้าๆ นิ่งไว้ประมาณ 10 วินาที จึงค่อยๆผ่อนคลาย หรือยืนตรงโดยแยกเท้าห่างไม่เกินความกว้างของสะโพก เอนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ย่อเข่าและวางมือที่กลางต้นขาแล้วโก่งหลัง นิ่งไว้ 10 วินาทีจึงผ่อนคลายจากนั้นทำซ้ำอีกครั้ง
3.ยืดเส้นช้าๆ การออกกำลังกายโดยยืดเส้นให้ผลเช่นเดียวกับการหายใจลึก เพราะลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากสารที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายเพื่อนำออกซิเจนไปสู่สมองได้ดีขึ้น
เริ่มวันใหม่ด้วยการยืดเส้นเบาๆ การยืดหลังจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย วิธีดีที่สุดอย่างหนึ่งคือท่าโก่งหลังแบบแมว โดยใช้มือและเข่าแตะพื้น แล้วโก่งหลังขึ้นช้าๆ นิ่งไว้ประมาณ 10 วินาที จึงค่อยๆผ่อนคลาย หรือยืนตรงโดยแยกเท้าห่างไม่เกินความกว้างของสะโพก เอนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ย่อเข่าและวางมือที่กลางต้นขาแล้วโก่งหลัง นิ่งไว้ 10 วินาทีจึงผ่อนคลายจากนั้นทำซ้ำอีกครั้ง
4.ทำตามนาฬิกาของร่างกาย บางคนรู้สึกแข็งขันที่สุดในตอนเช้า แต่บางคนรู้สึกมีพลังในตอนกลางคืน ชาลส์ คันต์เซิลแมน ผู้เขียนเรื่อง Maximizing your Energy & Personal Productivity หรือ ใช้พลังงานและการสร้างเสริมในตัวคุณให้เต็มที่ กล่าวว่า "คุณคงไม่ใช่คนมีพลังในตอนเช้าถ้าต้องดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยหลังตื่นนอนเพื่อให้มีแรงทำงาน"
สังเกตุดูว่าตัวคุณมีพลังมากที่สุดในเวลาใด แล้วเก็บงานสำคัญไว้ทำตอนนั้น ถ้าคุณเป็นคนสมองแล่นในช่วงเช้า ควรจัดการสอบสัมภาษณ์ไว้ในตารางการทำงานช่วงเช้าแทนที่จะเป็นตอนบ่ายเมื่อพลังเริ่มถดถอย
สังเกตุดูว่าตัวคุณมีพลังมากที่สุดในเวลาใด แล้วเก็บงานสำคัญไว้ทำตอนนั้น ถ้าคุณเป็นคนสมองแล่นในช่วงเช้า ควรจัดการสอบสัมภาษณ์ไว้ในตารางการทำงานช่วงเช้าแทนที่จะเป็นตอนบ่ายเมื่อพลังเริ่มถดถอย
5.ลองกินให้น้อยลงแต่บ่อยขึ้น ขณะกินอาหาร กระแสเลือดจะไปคั่งอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงจึงรู้สึกซึมเซา ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าการกินอาหารน้อยๆ วันละ 5-6 มื้อ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้สม่ำเสมอตลอดวัน
เพื่อเสริมสร้างพลัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันสัตว์และไอศครีม ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้สมองได้รับเลือดน้อยเป็นเวลานานขึ้น ควรกินอาหารที่มีกรดไขมันที่จำเป็น เช่น ปลาและถั่ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารอาหารที่มีคุณค่า
เพื่อเสริมสร้างพลัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันสัตว์และไอศครีม ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้สมองได้รับเลือดน้อยเป็นเวลานานขึ้น ควรกินอาหารที่มีกรดไขมันที่จำเป็น เช่น ปลาและถั่ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารอาหารที่มีคุณค่า
6.รับแสงแดดมากขึ้น แสงแดดทำให้ร่างกายหยุดผลิตสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยปรับนาฬิกาของร่างกาย บางคนอาจเกิดอาการผิดปกติหากไม่ได้รับแสงสว่างเพียงพอในตอนเช้า โดยจะรู้สึกซึมเศร้า ซึ่งทำให้อ่อนเพลียได้
7.ยืนตัวตรง โจเซฟ สเวียร์ ผู้อำนวยการอาชีวเวชาสตร์แห่งวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น ไคโรแพรกทิก รัฐมินนิโซตา บอกว่า เมื่อเรายืนหลังโก่ง ทำให้น้ำหนักจะไม่ตกกลางลำตัว ร่างกายจึงต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทรงตัวให้สมดุล เขากล่าวว่า "ของหนักสุดที่เราแบกอยู่ตลอดเวลาก็คือร่างกายของเราเอง หากร่างกายรองรับน้ำหนักอย่างสมดุล เราจะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง"
วิธีง่ายๆที่จะทำให้เกิดสมดุลคือ ยืดศีรษะให้อยู่ในแนวเดียวกับกระดูกเชิงกราน ให้หูอยู่แนวเดียวกับไหล่ และแอ่นหลังเล็กน้อย หากนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ สายตาควรอยู่ระดับตรงกลางจอ ผู้หญิงไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงและอย่าสะพายกระเป๋าหนักๆเพราะทำให้น้ำหนักไม่ตกกลางลำตัว
8.สำรวจนิสัยการนอนของตัวเอง เวลานอนเท่าไรจึงจะเพียงพอนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน นายแพทย์มาร์ก มาโฮวาล์ด ผู้อำนวยการศูนย์การนอนหลังผิดปกติในรัฐมินนิโซตา แนะมาตรวัดการนอนดังนี้ ถ้านั่งหลับโดยไม่ตั้งใจ หรือ ตื่นสายมากในวันหยุด มีความเป็นไปได้ว่าคุณนอนไม่พอ ลองนอนเพิ่มคืนละชั่วโมงสัก 2-3 สัปดาห์ แล้วดูว่าคุณรู้สึกอย่างไร
ดิฉันพบว่าการนอนวันละ 8 ชั่วโมงไม่พอ หากได้นอนเพิ่มอีกสัก 45 นาที สมองก็จะโปร่งตลอดวัน จึงลองเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆด้วย เช่น ดื่มน้ำแทนกาแฟ เปลี่ยนกระเป๋าสะพายที่หนักจนไหล่เอียง มาเป็นกระเป๋าถือใบเล็กๆ และออกไปเดินเร็วๆนอกที่ทำงานบ่อยขึ้นเพื่อรับแสงแดดและทำให้จิตใจสดชื่น นอกจากนี้ยังทำสมาธิและทำตามนาฬิกาของร่างกาย เมื่อทำเช่นนี้ก็มีแรงพอจะไปเที่ยวกับเพื่อนได้ในค่ำวันศุกร์