BumQ 4

คืนนี้หลับให้สบาย

คืนนี้
หลับให้สบาย
เคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยให้การนอนหลับ
ไม่เป็นเรื่องฝันร้ายอีกต่อไป

ทัศนียา วัย 35 ยังจำได้ว่าตอนกลางคืนทรมานเพียงไร เธอทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ และมีปัญหานอนไม่หลับมาร่วมสิบปีแล้วทั้งที่เข้านอนด้วยความเหนื่อยล้าทุกคืนแต่ก็ข่มตาให้หลับไม่ลง ทัศนียานอนกระสับกระส่ายอยู่หลายชั่วโมง ในใจครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่า "เราต้องหลับให้ได้ พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำอีกมาก"
 

เธอนอนตาสว่างจนล่วงเข้าวันใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสามวันและลุกจากเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน นอกจากนี้ สามีและลูกสองคนยังสังเกตว่าทัศนียาหงุดหงิดและอารมณ์เสียง่าย ทั้งไม่มีสมาธิในเวลาทำงานเธอเบื่ออาหารและน้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม

เมื่ออาการหนักขึ้นและเริ่มมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ทัศนียาเริ่มใช้ยานอนหลับ ระยะแรกก็ช่วยให้หลับสบาย แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็เริ่มไม่ค่อยได้ผลนัก ในที่สุดทัศนียาก็มีอาการดื้อยา ต้องเพิ่มปริมาณยาและพึ่งยานอนหลับอย่างขาดไม่ได้

ความผิดปกติที่พบได้บ่อย
"จากการศึกษาปัญหาในการนอนหลับและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของชุมชนหนึ่งในกรุงเทพฯ พบว่า ประชากรประมาณหนึ่งในสามคนมีแนวโน้มจะมีปัญหาในการนอนหลับ ซึ่งส่งผลเกี่ยวเนื่องไปถึงอาการนอนไม่หลับ" นายแพทย์จักรกฤษณ์ สุขยิ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชโรงพยาบาลรามาธิบดีและผู้เชี่ยวชาญปัญหาในการนอนหลับ กล่าว ในทางการแพทย์อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) ที่ไม่ควรนิ่งนอนใจก็คือ เมื่อนอนไม่หลับต่อเนื่องเกือบทุกวันในหนึ่งสัปดาห์ โดยมีอาการนี้ติดต่อกันสองถึงสามสัปดาห์ขึ้นไป

การนอนไม่หลับเป็นเวลานานเป็นปีๆมีผลเสียตามมามากมาย ทั้งต่อบุคคลผู้นอนไม่หลับเองและต่อสังคมโดยรวม ผู้ที่นอนไม่หลับมักมีอาการอ่อนเพลียและวิตกกังวลซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ นอกจากนี้ การอดนอนสะสมยังบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานด้วย

อุบัติเหตุร้างแรงบนท้องถนนหลายๆกรณีมีสาเหตุมาจากคนขับหลับในและไม่สามารถตั้งสมาธิขณะขับรถโดยเฉพาะระหว่างเวลา 3.00 ถึง 5.00 น. และเวลา 14.00 น. ซึ่งระบบการทำงานในร่างกายเชื่องช้าและส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน "ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่การนอนไม่หลับเป็นสาเหตุใหญ่ของอุบัติเหตุทั้งบนท้องถนนและระหว่างการทำงานกับเครื่องจักร ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาลจนหลายคนคาดไม่ถึง"

ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่คนไม่ไปปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการนอนไม่หลับหลายคนหันไปพึ่งยานอนหลับ "คนจำนวนไม่น้อยพึ่งยานอนหลับโดยไม่ปรึกษาแพทย์และต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนขาดไม่ได้และถึงขั้นติดยาในเวลาอันรวดเร็ว" หมอจักรกฤษณ์ กล่าว


ควรนอนกี่ชั่วโมง
สิ่งสำคัญไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่นอน แต่เป็นขั้นตอนในการนอน แต่ละคืน คนเราผ่านการนอนเป็นชั่วโมง ช่วงละประมาณ 90 นาที แต่ละช่วงแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน คือ หลับตื้น หลับลึก และหลับฝัน ในช่วงหลับลึกร่างกายจะผ่อนคลายและพักผ่อน ในช่วงหลับฝัน จิตจะพักผ่อน ช่วงหลับตื้นเปรียบเหมือนสะพานระหว่างการหลับลึกและหลับฝัน


โดยปกติ ผู้ใหญ่นอนคืนละประมาณเจ็ดชั่วโมง บางคนต้องการนอนมากถึงเก้าชั่วโมง แต่ก็มีคนที่นอนเพียงห้าชั่วโมงก็พอ เนื่องจากแต่ละคนมีวงจรการนอน ไม่เหมือนกัน ในช่วงแรก การหลับลึกอาจนานถึง 20 นาที แต่ในช่วงต่อๆมา ระยะหลับลึกจะสั้นลงในขณะที่ระยะหลับตื้นและหลับฝันจะยาวขึ้น

หลายคนนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถตื่นขึ้นมาประกอบภารกิจด้วยความกระปรี้กระเปร่า เช่น จักรพรรดินโปเลียนซึ่งนอนแทบไม่ถึงสี่ชั่วโมง คนกลุ่มนี้นอนหลับโดยไม่มีการหลับตี้น แต่ข้ามไปหลับลึกและหลับฝันเลย

นอกจากบุคคลประเภท "นกฮูก" ที่เริ่มง่วงนอนหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ยังมีอีกประเภทที่ชอบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ "ทุกคนต้องสังเกตและค้นหาเวลาเข้านอนที่ทำให้ตัวเองตื่นเช้าด้วยความกระฉับกระเฉง มีพลังทำงานได้ตลอดทั้งวัน" แพทย์จักรกฤษณ์กล่าว

อย่าใช้ยาดีกว่า

ไม่ควรใช้ยานอนหลับนอกจากกรณีจำเป็นและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจติดยาได้หลังกินติดต่อกันสี่สัปดาห์ "ยานอนหลับสามารถใช้ได้เวลาเครียดมาก เช่น กำลังสอบไล่ ต้องไปสัมภาษณ์เข้าทำงาน หรืออยู่ในช่วงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ แต่จริงๆแล้วไม่ควรใช้ยาเอง ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน" นายแพทย์ชูทิตย์ ปานปรีชา อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิตและผู้เชี่ยวชาญปัญหาในการนอนหลับ กล่าว "และห้ามเพิ่มขนาดยาเอง อีกทั้งไม่ควรดื่มเหล้าหรือใช้สารเสพย์ติดร่วมกับการใช้ยานอนหลับ" นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์เมื่อต้องใช้ยานอนหลับติดต่อกันหลายๆสัปดาห์

เคล็ดลับในการนอนหลับ เจ็ดประการ
1.กินอาหารที่มีประโยชน์และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
ไวน์หนึ่งแก้วอาจทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าดื่มเหล้ามากเกินไปโดยเฉพาะในช่วงดึกๆหลังเที่ยงคืนไปแล้วจะทำให้นอนหลับไม่สนิท สารนิโคตินในบุหรี่ทำให้ประสิทธิภาพในการนอนลดลง หลายคนตาแข็งเพราะกินกาเฟอิน การกินอาหารเย็นมากเกินไป จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้นและร่างกายไม่สามารถผ่อนคลายได้ "ผู้ที่มีปัญหาในการนอนหลับไม่ควรดื่มกาแฟและเหล้า โดยเฉพาะในช่วงบ่ายแก่ๆหรือตอนค่ำ และควรเลิกสูบบุหรี่ นอกจากนี้อาหารเย็นควรเป็นประเภทย่อยง่าย เช่น ปลาหรือเนี้อที่ปรุงให้ย่อยง่าย" นิภาภรณ์ บุณยประวิตร นักวิชาการสาขาสังคมสงเคราะห์ประจำกรมสุขภาพจิต แนะนำ

2.ปรับปรุงสภาพห้องนอน
เลือกห้องเงียบที่สุดในบ้านและอากาศถ่ายเทได้สะดวก
เปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเข้านอน หรือ แง้มหน้าต่างเล็กน้อยขณะนอน
อุณหภูมิห้องที่เหมาะสมสำหรับอากาศเมืองไทยคือประมาณ 25 องศาเซลเซียส อาจสูงหรือต่ำกว่านี้เล็กน้อย แล้วแต่ความชอบของบุคคล
พยายามให้ห้องนอนมืดที่สุด
เลือกที่นอนให้เหมาะสม คือ ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป


3.ออกกำลังกายมากขึ้น
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก ช่วยให้นอนหลับได้มากขึ้นและเพิ่มระยะการหลับลึก แต่ไม่ควรออกกำลังกายใกล้เวลานอน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายและระบบโลหิตไหลเวียนมากกว่าปกติ ทั้งนี้ยกเว้นกิจกรรมทางเพศ

4.ผ่อนคลายและพักผ่อน
ผู้ที่มีความกังวลใจอย่างเช่น ในเรื่องงานหรือเรื่องเงิน มักจะนอนไม่หลับ "ทันทีที่ล้มตัวลงนอน หัวสมองก็เริ่มคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ" หมอเกษียรสม กล่าว "ระหว่างนั้นร่างกายจะไม่ยอมผ่อนคลายออกมา เช่นอะดรีนาลีน ความดันเลือดก็สูงขึ้น หัวใจเต้นแรงและระบบเผาผลาญพลังงาน ทำงานไม่หยุด"

สร้าง "จุดพัก" ระหว่างกิจกรรมตอนกลางวันกับการนอนหลับด้วยวิธีต่อไปนี้ เช่น อ่านหนังสือดีๆสักเล่ม ฟังเพลงเบาๆ หรือออกไปเดินเล่นตอนเย็น เป็นต้น

ถ้ารู้สึกว่าสมองยังไม่ยอมผ่อนคลาย ให้เขียนความกังวลใจออกมาเป็นตัวหนังสือในตอนค่ำ

ไม่ควรคิดฟุ้งซ่าน การทำจิตใจให้สงบด้วยวิธีต่างๆช่วยได้มาก เช่น ทำสมาธิ หรือใช้เสียงเพลงเป็นส่วนประกอบ

5.เข้านอนให้ตรงเวลา
เราไม่สามารถนอนชดเชยได้ การนอนตื่นสายในวันสุดสัปดาห์ไม่ได้ชดเชยการนอนไม่เต็มตาในช่วงจันทร์ถึงศุกร์

 เข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาทุกวัน (รวมทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย) เพื่อฝึกให้นาฬิกาภายในตัวเราทำงานเป็นเวลา

ถ้ามีปัญหาในการนอนหลับ อย่างีบหลับตอนกลางวัน เพราะการงีบเพียงช่วงสั้นๆก็ทำให้การนอนหลับตอนกลางคืนเรรวนได้

6.สร้างสุขนิสัยที่ดีก่อนการนอน
การอาบน้ำอุ่นก่อนนอน (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) ทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น หยดน้ำมันหอมในน้ำที่แช่ตัว อย่างเช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ กระดังงาไทย และคาโมไมล์ จะช่วยให้ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย

อาหารว่างก่อนนอน เช่น ช็อกโกแลตสักชิ้น กล้วยหนึ่งลูก หรือนมอุ่นๆผสมน้ำผึ้งซึ่งมีสารโปรตีนแอล-ทริปโตฟาน ทำให้สมองผ่อนคลายและช่วยให้การหลับดีขึ้น

7.ถ้าหลับไม่ลง ก็ลุกขึ้นมาเถอะ
เมื่อคุณทัศนียาหลับไม่ตลอดถึงเช้ามาหลายเดือน เธอมักจะหลับยากและหลับๆตื่นๆตลอดคืน จึงไปปรึกษาจิตแพทย์ในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน หมอแนะนำให้ตื่นขึ้นมาทำงานเบาๆจนกระทั้งรู้สึกง่วงอีกครั้ง "ดิฉันจึงเลือกทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆพอให้เพลิดเพลินแทนที่จะนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ" ทัศนียาบอก พอจิตใจเลิกจดจ่อกับการนอนหลับ เธอก็รู้สึกง่วงและกลับไปนอนต่อได้

อย่านอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง ควรลุกขึ้นแล้วออกจากห้องนอน เข้าไปฟังเพลงเบาๆในห้องอื่น เป็นต้น

อย่าใจจดจ่อกับการนอนของตนเองมากนัก ถ้าเป็นไปได้อย่าดูนาฬิกาตอนกลางคืนความคิดที่ว่า "ฉันต้องหลับให้ได้ตอนนี้ เพราะอีกสองชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว" ทำให้เกิดความเครียดและนอนไม่หลับ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในตำแหน่งที่เสียงติ๊กๆหรือตัวเลขเรืองแสงไม่รบกวนคุณ

ถ้าต้องตื่นขึ้นมาทำธุระกลางดึก อย่าเปิดไฟสว่างจ้า เพราะจะทำให้นาฬิกาในตัวเราสับสนจนตาสว่าง


เคล็ดลับเหล่านี้ช่วยได้ในหลายกรณี อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องอาศัยเวลา ถ้าคุณนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ อย่ากินยาเอง ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์

แม้ผู้ที่เคยติดยานอนหลับก็สามารถนอนหลับได้โดยไม่ต้องพึ่งยาอย่างทัศนียา หลังนอนไม่หลับมานานหลายปีเธอตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลจิตแพทย์ให้คำปรึกษาและแนะนำให้เธอปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตบางอย่าง รวมทั้งให้การรักษาโรคซึมเศร้าของเธอ เช่น เลิกนอนหลับตอนกลางวัน หลังพบแพทย์ไม่ถึงสามเดือนอาการก็ดีขึ้นจนไม่ต้องพึ่งยาอีก "ฉันไม่กลัวห้องนอนและเวลาต้องเข้านอนอีกต่อไปแล้ว" ทัศนียากล่าว


ตรวจสภาพการนอนหลับ
วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้แพทย์ทราบข้อมูลต่างๆที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวกับการนอนหลับหรืออาการง่วงผิดปกติในช่วงกลางวันก็คือ การตรวจสภาพการนอนหลับในห้องปฏิบัติการการนอนหลับ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงความผิดปกติที่เกิดร่วมกับการหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการจะติดเครื่องมือเฝ้าสังเกตการหายใจ การทำงานของหัวใจและคลื่นสมอง ตลอดจนการเคลื่อนไหวของลูกตา เพื่อประกอบการวินิจฉัยและรักษาต่อไป โดยค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 8,000 ถึง 10,000 บาทต่อครั้งหรือหนึ่งคืน

ห้องปฏิบัติการการนอนหลับยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทยและมีให้บริการในโรงพยาบาลของรัฐบางแห่งเท่านั้น เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา และโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น และโรงพยาบาลเอกชน เช่น โรงพยาบาลเทพธารินทร์ โรงพยาบาลพร้อมมิตร และโรงพยาบาลวิชัยยุทธ เป็นต้น

เพิ่มพลังวิถีธรรมชาติ

เพิ่มพลัง
วิถีธรรมชาติ
ลองแปดวิธีง่ายๆในการสร้างเสริมกำลังวังชา
อถึงเย็นวันศุกร์ เพื่อนในสำนักงานมักถามกันให้แซดว่าค่ำนี้จะไปไหน แต่ดิฉันเลือกกลับบ้านเพื่อจะได้นอนเอกเขนกให้สบายใจ

ดิฉันนอนวันละแปดชั่วโมง กินอาหารครบห้าหมู่และออกกำลังสม่ำเสมอ แถมยังมีเพื่อนดี งานดี และครอบครัวดี ซึ่งล้วนแต่เติมพลังให้ชีวิต แต่ก็ยังรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง แค่จะอยู่ดูข่าวตอนสี่ทุ่มยังไม่ไหว เวลาตื่นตอนเช้าก็รู้สึกอ่อนเพลียหมดแรง เลยเชื่อว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่

เมื่อไปตรวจร่างกายก็ไม่พบอะไรผิดปกติร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์หรืออาการอ่อนเพลีย หมอสรุปว่าเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งมีผลให้ไม่มีจิตใจจะทำอะไร

ดิฉันจึงเริ่มมองหาวิธีช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยาหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตมากนัก ในที่สุดก็ค้นพบเทคนิคแปดประการซึ่งใช้เวลาไม่มากและไม่ต้องฝึกฝน หากคุณมีสุขภาพดีแต่รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ลองใช้วิธีกระตุ้นกำลังวังชาดังต่อไปนี้

1.หายใจลึกๆ การหายใจลึกทำให้หัวใจเต้นช้าลง ช่วยลดความตึงเครียดของระบบประสาท ความดันเลือด และปริมาณฮอร์โมนที่กระตุ้นความเครียด ฝึกหายใจลึกๆราว 10-15 นาทีทุกวันและทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ปล่อยให้อากาศเข้าสู่ช่องอกและช่องท้องเต็มที่ก่อนหายใจออกอย่างช้าๆ


2.ทำสมาธิ คนทั่วไปนิยมทำสมาธิเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ด้วย วิธีก็คือหาที่เงียบๆ นั่งให้สบาย ปล่อยจิตใจให้ผ่อนคลาย หลับตา และนึกถึงคำธรรมดาๆสักคำเช่นคำว่า หนึ่ง หากความคิดอื่นแทรกเข้ามาก็ให้กลับไปคิดถึงคำเดิมตลอด

3.ยืดเส้นช้าๆ การออกกำลังกายโดยยืดเส้นให้ผลเช่นเดียวกับการหายใจลึก เพราะลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากสารที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายเพื่อนำออกซิเจนไปสู่สมองได้ดีขึ้น

เริ่มวันใหม่ด้วยการยืดเส้นเบาๆ การยืดหลังจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย วิธีดีที่สุดอย่างหนึ่งคือท่าโก่งหลังแบบแมว โดยใช้มือและเข่าแตะพื้น แล้วโก่งหลังขึ้นช้าๆ นิ่งไว้ประมาณ 10 วินาที จึงค่อยๆผ่อนคลาย หรือยืนตรงโดยแยกเท้าห่างไม่เกินความกว้างของสะโพก เอนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ย่อเข่าและวางมือที่กลางต้นขาแล้วโก่งหลัง นิ่งไว้ 10 วินาทีจึงผ่อนคลายจากนั้นทำซ้ำอีกครั้ง

4.ทำตามนาฬิกาของร่างกาย บางคนรู้สึกแข็งขันที่สุดในตอนเช้า แต่บางคนรู้สึกมีพลังในตอนกลางคืน ชาลส์ คันต์เซิลแมน ผู้เขียนเรื่อง Maximizing your Energy & Personal Productivity หรือ ใช้พลังงานและการสร้างเสริมในตัวคุณให้เต็มที่ กล่าวว่า "คุณคงไม่ใช่คนมีพลังในตอนเช้าถ้าต้องดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยหลังตื่นนอนเพื่อให้มีแรงทำงาน"

สังเกตุดูว่าตัวคุณมีพลังมากที่สุดในเวลาใด แล้วเก็บงานสำคัญไว้ทำตอนนั้น ถ้าคุณเป็นคนสมองแล่นในช่วงเช้า ควรจัดการสอบสัมภาษณ์ไว้ในตารางการทำงานช่วงเช้าแทนที่จะเป็นตอนบ่ายเมื่อพลังเริ่มถดถอย

5.ลองกินให้น้อยลงแต่บ่อยขึ้น ขณะกินอาหาร กระแสเลือดจะไปคั่งอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงจึงรู้สึกซึมเซา ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าการกินอาหารน้อยๆ วันละ 5-6 มื้อ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้สม่ำเสมอตลอดวัน

เพื่อเสริมสร้างพลัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันสัตว์และไอศครีม ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้สมองได้รับเลือดน้อยเป็นเวลานานขึ้น ควรกินอาหารที่มีกรดไขมันที่จำเป็น เช่น ปลาและถั่ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารอาหารที่มีคุณค่า
6.รับแสงแดดมากขึ้น แสงแดดทำให้ร่างกายหยุดผลิตสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยปรับนาฬิกาของร่างกาย บางคนอาจเกิดอาการผิดปกติหากไม่ได้รับแสงสว่างเพียงพอในตอนเช้า โดยจะรู้สึกซึมเศร้า ซึ่งทำให้อ่อนเพลียได้

7.ยืนตัวตรง โจเซฟ สเวียร์ ผู้อำนวยการอาชีวเวชาสตร์แห่งวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น ไคโรแพรกทิก รัฐมินนิโซตา บอกว่า เมื่อเรายืนหลังโก่ง ทำให้น้ำหนักจะไม่ตกกลางลำตัว ร่างกายจึงต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทรงตัวให้สมดุล เขากล่าวว่า "ของหนักสุดที่เราแบกอยู่ตลอดเวลาก็คือร่างกายของเราเอง หากร่างกายรองรับน้ำหนักอย่างสมดุล เราจะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง"

วิธีง่ายๆที่จะทำให้เกิดสมดุลคือ ยืดศีรษะให้อยู่ในแนวเดียวกับกระดูกเชิงกราน ให้หูอยู่แนวเดียวกับไหล่ และแอ่นหลังเล็กน้อย หากนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ สายตาควรอยู่ระดับตรงกลางจอ ผู้หญิงไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงและอย่าสะพายกระเป๋าหนักๆเพราะทำให้น้ำหนักไม่ตกกลางลำตัว

8.สำรวจนิสัยการนอนของตัวเอง เวลานอนเท่าไรจึงจะเพียงพอนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน นายแพทย์มาร์ก มาโฮวาล์ด ผู้อำนวยการศูนย์การนอนหลังผิดปกติในรัฐมินนิโซตา แนะมาตรวัดการนอนดังนี้ ถ้านั่งหลับโดยไม่ตั้งใจ หรือ ตื่นสายมากในวันหยุด มีความเป็นไปได้ว่าคุณนอนไม่พอ ลองนอนเพิ่มคืนละชั่วโมงสัก 2-3 สัปดาห์ แล้วดูว่าคุณรู้สึกอย่างไร


ดิฉันพบว่าการนอนวันละ 8 ชั่วโมงไม่พอ หากได้นอนเพิ่มอีกสัก 45 นาที สมองก็จะโปร่งตลอดวัน จึงลองเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆด้วย เช่น ดื่มน้ำแทนกาแฟ เปลี่ยนกระเป๋าสะพายที่หนักจนไหล่เอียง มาเป็นกระเป๋าถือใบเล็กๆ และออกไปเดินเร็วๆนอกที่ทำงานบ่อยขึ้นเพื่อรับแสงแดดและทำให้จิตใจสดชื่น นอกจากนี้ยังทำสมาธิและทำตามนาฬิกาของร่างกาย เมื่อทำเช่นนี้ก็มีแรงพอจะไปเที่ยวกับเพื่อนได้ในค่ำวันศุกร์

หลุมพรางที่ 5 : ไม่มีเวลา

ไม่มีเวลา
มื่องานเลี้ยงฉลองมากมาย เช่น วันครบรอบแต่งงาน สังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือเลี้ยงเมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะเลือกใส่เสื้อผ้าหลวมสบายๆ ส่วนเรื่องออกกำลังกายนั้นไม่ต้องพูดถึง จะเอาเวลาที่ไหนในเมื่อมีทั้งงานและครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ

 

 ริปกล่าวว่า ปัญหาคือ "ถ้ากินอาหารที่ให้พลังงานเท่าเดิมแต่ไม่ได้ออกกำลัง น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้น การเผาผลาญพลังงานเพียงเล็กน้อยวันละ 100 แคลอรีจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นปีละเกือบห้ากิโลกรัม"



 


เอลินา ดอร์ฟแมน ช่างภาพชาวซานฟรานซิสโกวัย 34 มีงานเต็มตัวแต่ก็แบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกายเสมอ แทนที่จะนัดเพื่อนไปกินอาหาร เธอกลับนัดไปเดินหรือปั่นจักรยานแทน ซึ่งถือเป็นการพบปะสังสรรค์ไปด้วย ดอร์ฟแมนกล่าวว่า "เมื่อมีเวลาน้อย การทำทั้งสองอย่างพร้อมๆกันในแต่ละวันจึงเป็นวิธีที่ดี"

หลุมพรางที่ 4 : รู้สึกอยากกิน

รู้สึกอยากกิน
ดบรา วอเทอร์เฮาส์ นักโภชนาการชาวแคลิฟอร์เนีย แนะให้กินเมื่ออยาก แต่ต้องคอยคุมไม่ให้มากเกินไปซึ่งดีกว่าการปล่อยให้หิวเพราะเสี่ยงต่อการกินที่มากขึ้น "กินช็อกโกแลตเล็กน้อยหรือถั่วสักกำโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ทำตัวตามสบาย" เธอยังแนะนำให้กินอาหารในปริมาณน้อยวันละห้าถึงหกมื้อ แทนการกินมื้อใหญ่ๆ สองถึงสามมื้อ เพื่อให้มีพลังงานสม่ำเสมอ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังไม่แน่ใจว่าวิธีนี้ดีกว่าจริงหรือไม่

หลุมพรางที่ 3 : น้ำหนักตัวหลังคลอด


น้ำหนักตัวหลังคลอด
ารมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์แสดงว่ามีสุขภาพดี แต่ควรป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากเกินไป ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้ควบคุมอาหาร แต่หญิงมีครรภ์ส่วนใหญ่ควรได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มขึ้นวันละ 300 แคลอรี หลังตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ระหว่างการตั้งครรภ์ 19 สัปดาห์ ผู้หญิงไม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มเกิน 3-5 กิโลกรัม จากนั้นโดยทั่วไป หมอมักแนะว่าควรมีน้ำหนักเพิ่มไม่เกินสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ลองปรึกษาสูติแพทย์เรื่องน้ำหนักดู
หลังคลอดบุตร ผู้หญิงส่วนใหญ่พบว่าลดน้ำหนักได้ยาก การออกกำลังกายเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้ และยังช่วยให้ต่อสู้กับความเหนื่อยล้า (ซึ่งมักทำให้ต้องพึ่งอาหารสำเร็จรูปมากเกินไป) และอารมณ์จะขึ้นๆลงๆ 
ฟอเร็ตกล่าวว่า "ถ้าออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด โอกาสที่การเผาผลาญจะอยู่ในระดับสูงและสมดุลกับการกินก็มีมากขึ้น"
 สเตซี โรเบิร์ต คุณแม่ ลูกสอง วัย 34 จากรัฐฟลอริดา เข้าคอร์สบริหารร่างกายสัปดาห์ละหลายครั้งจนลดน้ำหนักได้เกือบ 14 กิโลกรัมหลังคลอดลูกคนที่สอง เธอกล่าววว่า "ฉันเลือกออกกำลังเพื่อจะได้กินตามใจชอบได้" โรเบิร์ตพยายามไม่ชั่งน้ำหนักขณะที่ร่างกายค่อยๆผอมลง "ฉันใช้วิธีวัดตัวแทน เป็นการช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น" 

อ่านต่อ "หลุมพรางที่ 4 : รู้สึกอยากกิน"

หลุมพรางที่ 2 : เลิกยกน้ำหนัก

เลิกยกน้ำหนัก
ากมีเวลาเพียงวันละ 20 นาที คุณอาจเลือกวิธีเดินเร็ว วิ่งบนสายพาน บริหารด้วยการนอนแล้วยกขา หรือยกดัมเบล เวย์น เวสต์คอด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการออกกำลังกายวายเอ็มซีเอ รัฐแมสซาซูเซตส์กล่าวว่า คนส่วนใหญ่เลือกออกกำลังแบบแอโรบิกมากกว่าการยกน้ำหนัก "เพราะเป็นวิธีที่เผาผลาญแคลอรีได้มากที่สุด"

ซึ่งเป็นความจริงในขณะออกกำลังอยู่ "แต่การทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงด้วยการยกน้ำหนัก ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญแคลอรี่ได้ทุกวันแม้ขณะหยุดพัก"

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะกล้ามเนื้อครึ่งกิโลกรัมใช้พลังงาน 35 ถึง 50 แคลอรี่ต่อวัน ขณะที่ไขมันครึ่งกิโลกรัมเผาผลาญพลังงานเพียง 2 แคลอรี่ หากไม่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ท้ายที่สุดเนื้อตัวจะไม่กระชับ แถมน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ด้วยการยกน้ำหนักวันละ 20 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน เป็นการเผาผลาญที่มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โรเบอร์ตา โคลบี พยาบาล วัย 34 จากรัฐแมสซาซูเซตส์  เริ่มออกกำลังด้วยการบริหารร่างกาย แต่ละครั้งเธอจะใช้เวลา 20 นาที โดยยกขา ยึดพื้น ดึงข้อ และทำสก็อตจัมป์ โคลบี สามารถรักษาน้ำหนักได้เท่ากับเมื่อ ครั้งอายุ 20 กว่า และไขมันในร่างกายก็มีค่าต่ำอย่างน่าอิจฉา คือร้อยละ 18 (ค่าเฉลี่ยสำหรับผู้หญิงวัยนี้เท่ากับประมาณร้อยละ 30) 

เธอกล่าวว่า "การบริหารร่างกายทำให้ฉันสามารถทำตัวตามสบาย ไม่ต้องงดอาหาร หน้าท้องแบนราบ เอวเล็กลง แขน ไหล่ และขากระชับขึ้น"


อ่านต่อ "หลุมพรางที่ 3 : น้ำหนักตัวหลังคลอด"

หลุมพรางที่ 1 : กินเท่าผู้ชาย

 เอาชนะปีแห่งความอ้วน  
ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการรักษารูปร่างให้ดี
เมื่ออายุเกิน 35 ขึ้นไป

เมื่ออายุเกิน 35 ขึ้นไปก็อาจจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จนบางคนมีมากเกินไปกลายเป็นคนอ้วน จนวันหนึ่งส่องกระจก คุณอาจตกใจว่าทำไมหุ่นเจ้าเนื้ออย่างนี้ แต่แทนที่จะโทษการปฏิบัติตนไม่ถูกต้องหรือเจริญอาหารเกินไป คุณกลับอ้างว่าสะโพกหนาขึ้นเพราะอายุเริ่มมากและการเผาผลาญลดลงหลังวัย 30 ซึ่งความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยผู้หญิงมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งกิโลกรัมต่อปีในช่วงอายุ 30 ถึง 40 ปี แต่ไม่ได้เกิดจากการเผาผลาญลดลงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเผาผลาญอาจลดลงก็จริง แต่โดยทั่วไปมักเป็นผลจากการดำเนินชีวิตที่ไม่มีการออกกำลังกายและการสูญเสียกล้ามเนื้อ

นายแพทย์เจมส์ ริป ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคและการดำเนินชีวิต รัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวว่า "อายุ 30 ขึ้นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้อ้วนเร็ว แต่มีสาเหตุหลายอย่างประกอบกันที่ทำให้ผู้หญิงวัยนี้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น"

โอกาสลดน้ำหนักนั้นเป็นไปได้ หัวข้อต่อไปนี้จะทำให้คุณรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรและหลีกเลี่ยงอะไรบ้างเพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางที่พบอยู่เป็นประจำ

หลุมพรางที่ 1 : กินเท่าผู้ชาย
เมื่อแต่งงาน มีแนวโน้มว่าคุณจะกินอาหารแบบเดียวกันและปริมาณเท่ากับสามี จอห์น ฟอเร็ต ผู้อำนวยการคลินิกโภชนวิจัย วิทยาลัยแพทย์เบร์เลอร์ในเมืองฮุสตันกล่าวว่า "ผู้ชายกินมากกว่าเพราะตัวใหญ่กว่า เมื่อผู้หญิงกินข้าวพร้อมกับผู้ชาย เธอก็จะกินมากตามไปด้วย"

เป็นไปได้ที่จะฝึกนิสัยไม่ให้กินมากเกินไป แต่ต้องใช้ความพยายาม ข้อหนึ่งคือพยายามอย่ากินเท่ากับสามี ถ้าออกไปกินอาหารนอกบ้าน ให้กินสลัดและอาหารเบาแทนอาหารหนัก หากเป็นที่บ้าน ควรตักอาหารใส่จานให้น้อยกว่าของสามี และเมื่อเขาขอเติมอีกก็ไม่ควรเติมตาม
หลังแต่งงานสองปี หญิงวัย 36 ผู้หนึ่งน้ำหนักตัวลดลงเกือบ 4 กิโลกรัมทั้งที่กินมากกว่าปกติ เธอกล่าวว่า "ตอนเป็นโสด ฉันจะงดอาหารเย็นโดยกินแค่ข้าวโพดคั่ว ตอนนี้ฉันกับสามีกินอาหารเย็นด้วยกันทุกมื้อ เวลาสามีทำกับข้าว ฉันต้องคอยระวังไม่ตักมาก เพราะเขามักจะทำอาหารหนักและใส่มันฝรั่งเยอะ ถ้าฉันเป็นคนทำ ก็มักทำสลัดที่มีผักสดมากๆ"

อ่านต่อ "หลุมพรางที่ 2 : เลิกยกน้ำหนัก"

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 4 ผู้ช่วยชีวิต (จบ)

 
วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 4
ผู้ช่วยชีวิต (จบ)
วิลเลียม เอฟ. คีน ประธานมูลนิธิโรคไตแห่งสหรัฐฯ ค้นพบอันตรายที่ว่า ผู้เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงซึ่งมีโปรตีนในปัสสาวะสูง มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจหรือสมองขาดเลือดและอาจเสียชีวิตจากสองสาเหตุนี้ก่อนที่จะเป็นโรคไตขั้นรุงแรงก็เป็นได้ คีนกล่าวว่า ข้อมูลนี้มีความสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อหลักปฏิบัติของแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยเพื่อควบคุมการลุกลามของโรคและยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะผู้ป่วยซึ่งโดยทั่วไปมักจะไม่ทำกัน

จิม เพอรี วัย 48 จากรัฐเทกซัส ทราบดีว่าการวินิจฉัยโรคในระยะต้นเป็นเรื่องสำคัญที่เขาพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคไตหลังตรวจร่างกายเพื่อสมัครทำประกันชีวิต จึงต้องควบคุมอาหารอยู่นานหลายปี โดยไม่ต้องล้างไต เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว หลังรับการวินิจฉัยโรคมา 20 ปี เพอรีก็ได้รับการเปลี่ยนไตในที่สุด เขากล่าวว่า

"ผมโชคดีเป็นพิเศษ จวบจนได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว ผมก็ยังไม่เคยมีอาการรุนแรงอะไร นอกจากขาบวมเล็กน้อย ความดันสูง และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นเพราะอยู่ในวัยกลางคนก็เป็นได้"



คีนชี้ให้เห็นว่า เมื่อ 25 ปีก่อน ไม่มีใครตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจหาระดับคอเลสตอรอล เช่น เดียวกับสมัยนี้คือไม่มีใครสนใจเรื่องการตรวจโรคไต เขากับคนร่วมอาชีพจึงต้องคอยชักชวนให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการตรวจหาโรคนี้เมื่อไปพบแพทย์

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 3 การตรวจที่ถูกมองข้าม

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 3
การตรวจที่ถูกมองข้าม
มีวิธีการตรวจง่ายๆ และราคาไม่แพงเพื่อวินิจฉัยโรคไตในระยะต้นโดยใช้แถบตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ เพราะปัสสาวะของทุกคนมีโปรตีนปนอยู่บ้าง การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นการวัดโปรตีนซึ่งมีปริมาณสูงกว่าปกติ ผู้เชี่ยวชาญโรคไตส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้วิธีนี้เป็นการตรวจร่างกายประจำปี
วินเซนต์ ชู วัย 19 ได้รับการตรวจร่างกายประจำปีก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังเริ่มเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ เข่าเกิดอาการบวมและขยายลงไปเรื่อยๆจนถึงเท้าทั้งสองข้าง หมอวินิยฉัยว่าเขาอยู่ในกลุ่มอาการ "เนโฟรติก" ซึ่งเกิดจากเป็นโรคไต
 ชูต้องพักการเรียนหนึ่งปีและย้ายกลับไปอยู่บ้านในรัฐแคลิฟอร์เนีย เขากล่าวว่า "เมื่อยังเป็นวัยรุ่น เราไม่ค่อยรู้หรอกว่าร่างกายไม่ปกติ" อาการของเขาดีขึ้นหลังรักษาด้วยยาและกลับไปเรียนต่อได้ ชูบอกว่า "ถ้าหมอตรวจปัสสาวะก่อนหน้านี้ ก็อาจพบว่าเขาเป็นโรคไต่ก่อนที่อาการจะเกิดขึ้น"

ชอน เอลเลียต ศูนย์หน้าทีมซานอันโทนิโอสเปอร์ของเอ็นบีเอ พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคไตจากการตรวจร่างกายตามปกติ ในปีก่อนหน้านี้ เอลเลียต ทำให้แฟนๆบาสเกตบอลประหลาดใจซ้ำสอง เรื่องแรกคือการชูตลูกสำคัญที่ทำให้ทีมเป็นฝ่ายชนะในรอบชิงชนะเลิศ ต่อมาไม่นาน หลังทีมครองแชมป์เอ็นบีเอ เอลเลียตก็ประกาศว่าต้องผ่าตัดเปลี่ยนไต

โนเอล น้องชายของเขาสละไตให้ เอลเลียตจึงได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตในเวลาต่อมา เขารู้สึกขอบคุณและกล่าวว่า "คิดขึ้นมาทีไร ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า น้องชายช่างดีต่อผมเหลือเกิน" เมื่อหายเป็นปกติหลังผ่าตัด เขาเข้าร่วมงานกับทีมนักวิจารณ์กีฬาของสถานีโทรทัศน์และมีโครงการจะกลับไปเล่นบาสเกตบอลอาชีพอีกในฤดูการแข่งขันหน้า ทั้งยังตกลงใจเป็นโฆษกให้มูลนิธิโรคไตแห่งสหรัฐฯอีกด้วย


(อ่านต่อที่ " วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 4  " )

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 2 ภัยเงียบ

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 2 ภัยเงียบ
ทำไมคนไข้อย่างบิตเนอร์จึงไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าตนเป็นโรคไต ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าไตทำงานอย่างไร อวัยวะรูปร่างคล้ายถั่วแดงสองเม็ดขนาดเท่ากำปั้นมีระบบกรองอยู่ภายใน ซึ่งสามารถฟอกโลหิตได้ราววันละ 190 ลิตร หรือเท่ากับน้ำอัดลม 500 กระป๋องโดยจะขับของเสียออกมาวันละ 2 ลิตร


โรคไตส่วนใหญ่มีความผิดปกติอยู่ที่ระบบกรองปัสสาวะ ไตเสียสามารถขับถ่ายปัสสาวะได้ แต่กรองของเสียในร่างกายออกได้น้อยลง ทำให้เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย

อาการที่บอกว่าไตผิดปกติคือ มีปริมาณโปรตีนในปัสสาวะสูงกว่าปกติ โปรตีนเป็นสารโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของร่างกาย ไตที่สมบูรณ์จะรักษาโปรตีนไว้และขับเฉพาะของเสียในร่างกายออก แต่ไตที่เริ่มเสียไม่อาจรักษาโปรตีนไว้ได้ตามปกติ

ไตมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง หากไตเสียก็จะส่งผลเสียไปทั่วร่างกาย กล่าวคือทำให้หลอดเลือดหดตัว ความดันโลหิตสูง อาจมีผลกระทบต่อระบบสมองและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังพบว่ามีอาการโลหิตจางอย่างรุนแรงได้บ่อย นายแพทย์ โจเซฟ วี. บอนเวนทรี ผู้อำนวยการร่วมแผนกวิทยาศาสตร์สุขภาพและเทคโนโลยีแห่งฮาร์วาร์ด-เอ็มไอที กล่าวว่า "กระดูกของผู้ป่วยจะเริ่มเสื่อม เนื่องจากไตไม่สามารถกำจัดฟอสฟอรัส จึงทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดลดต่ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนซึ่งต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกไปใช้ จึงทำให้กระดูกเปราะบางลงเรื่อยๆ"

นเรามีชีวิตอยู่ได้แม้จะมีไตข้างเดียว แต่การมีไต 2 ข้าง ทำให้ร่างกายมีอวัยวะสำรองใช้เมื่อไตข้างหนึ่งเสียไป ส่วนที่ดีจะทำงานทดแทนจะกระทั่งส่วนที่สำรองไว้หมดไป

หมอบอนเวนทรีกล่าวว่า "ผู้ป่วยที่มีอาการไตวายรุนแรงซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของโรคไตและต้องล้างไตทันทีในวันนั้น อาจไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้ายแรง"
โรคไตส่วนใหญ่จะลุกลามไปเรื่อยๆ ไตที่เสียไปแล้วไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติได้ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่พบว่า ผู้เป็นโรคไตหลายราย หากได้รับการวินิจฉัยในระยะต้นๆ อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคได้มากขึ้น

(อ่านต่อที่ " วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 3 " )

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 1

วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 1
คุณมีความเสี่ยงต่อโรคที่ยังไม่แสดงอาการนี้หรือไม่
บาร์บารา บิตเนอร์ ตื่นเต้นอย่างยิ่ง เมื่อความฝันอยากทำงานราชการกำลังใกล้เป็นจริง ขณะนั้นเธออายุได้ 22 และหวังว่าจะได้ไปทำงานประจำในประเทศละตินอเมริกา เธอผ่านการทดสอบความถนัดและด้านจิตวิทยาแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้าย คือ การตรวจร่างกาย สัปดาห์ต่อมาบิตเนอร์ได้รับแจ้งว่าผลตรวจเลือดของเธอผิดปกติและแนะนำไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต ซึ่งบอกเธอหลังการตรวจว่า
"คุณมีเนื้อไตดีเหลือเพียง 30% อาการน่าเป็นห่วงนะครับ"
บิตเนอร์ตกใจ "แต่ฉันรู้สึกปกติดี"
หมอชี้แจงว่า "โรคไต มักไม่แสดงอาการ จนกว่าจะถึงระยะสุดท้าย"
บิตเนอร์ไม่รู้ตัวว่าเคยมีอาการเตือนเมื่อหลายปีก่อน จากการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอาการแรกบ่งชี้ของโรคนี้ หมอสั่งให้เธอลดน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม แต่คนอื่นไม่ได้ตรวจต่อ เมื่อไตเสียอย่างถาวรเช่นนี้ เธอจึงเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่าเรื่องไม่ได้งาน

หมอให้ยาควบคุมความดันโลหิตและแนะนำให้ควบคุมอาหารรสเค็ม ให้รับประทานแต่อาหารที่มีโพแทสเซียมต่ำ สองปีหลังการวินิจฉัย เมื่อบิตเนอร์พบว่าไตไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป เธอจึงต้องเริ่มล้างไตที่บ้านทุกคืน โดยต่อท่อจากเครื่องล้างไตเข้ากับท่อที่ผ่าตัดต่อเข้าช่องท้อง และใช้เวลา 8 ชั่วโมงเพื่อฟอกโลหิตให้ปราศจากสารพิษ

บิตเนอร์ยังคงทำงานอย่างเข้มแข็งเต็มเวลาและไปเรียนภาคค่ำ แต่เมื่ออาการแย่ลง เธอจึงได้รับการปลูกถ่ายไตในเดือนต่อมา ทุกวันนี้เธอยังทำงานสม่ำเสมอ และเมื่อเร็วๆนี้ ก็เข้าแข่งกีฬาสามประเภทในการแข่งขันกีฬาของผู้ปลูกถ่ายอวัยวะโลกที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เธอกล่าวว่า "ฉันใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ให้สมกับที่เกิดมา"

หากแพทย์ไม่มองข้ามผลการตรวจปัสสาวะของเธอ บิตเนอร์อาจรู้ว่าเป็นโรคเร็วกว่านี้และสามารถยืดเวลาล้างไตหรือเปลี่ยนไตออกไปได้ สมัยนี้การตรวจโรคไตในระยะแรก อาจทำได้เองที่บ้าน ต่อไปนี้ คือ สิ่งที่คุณและคนที่คุณห่วงใยควรรู้เกี่ยวกับโรคและการตรวจรักษาเพื่อหาทางป้องกันก่อนสายเกินแก้

(อ่านต่อที่ " วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 2 " )

รางจืด สมุนไพร ล้างพิษ

างจืด สมุนไพร ล้างพิษ
รางจืด เป็นจ้าวแห่งการถอนพิษ สมัยก่อนแม่เล่าให้ฟังว่า ใครโดนยาเบื่อ ให้รีบเคี้ยวรากของต้นรางจืด จะช่วยถอนพิษได้ แล้วสมัยนี้ไม่ต้องถึงกับวางยากันหรอกครับ แค่ในอาหารที่เรากิน ก็สารพัดสารพิษเจือปนโดยที่เราไม่รู้ตัว  เฉลี่ยอายุไม่ทันจะถึง 65 ปี ก็ป่วยเป็นโรคกันแล้วเพราะร่างกายอ่อนแอ
อยกตัวอย่างคร่าวๆ สารพัดวิธีที่เราๆ ท่านๆ จะได้รับสารพิษในชีวิตประจำวัน เช่น
ผักตามท้องตลาด คุณแน่ใจได้อย่างไร มันจะไม่มีสารเคมี
จาน ชาม ที่ล้างกันอยู่ คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่าไม่มีสารเคมีตกค้างจริง
ซักผ้า สารเคมีจากการซักฟอก ซึมเข้าผิวหนัง และสูดดม
อาหารกล่องโฟม เคยกินกันไหม นั้นละ ตัวก่อสารพิษและมะเร็ง
ถุงพลาสติกใส่อาหาร ป้องกันกันได้แค่ไหน
สารพิษในอากาศที่ได้รับกันจนชิน ระบบทางเดินหายใจเสีย ฯลฯ

ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้ยกตัวอย่าง มากมายสารพัดวิธีที่จะทำให้สารพิษต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายสะสมสารเคมี เป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ แต่ถ้าเรารู้จัก วิธีแก้ ชีวิตเราจะยืนยาวมากขึ้น ห่างไกลโรงพยาบาลมากขึ้น


รางจืดแบบแคปซูล เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป สะดวก พกพาได้ง่าย
ใบและราก - เป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยาฆ่าแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากดื่มเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่น ติดอยู่ตามผักผลไม้ที่รับประทาน เมื่ออยู่ในสถานที่ห่างไกล การนำตัวผู้ป่วยส่งแพทย์ต้องใช้เวลา อาจทำให้คนป่วยถึงแก่ชีวิตได้ ถ้ามีต้นรางจืดปลูกอยู่ในบ้าน ใช้ใบรางจืดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไปนัก หรือรากที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป และมีขนาดเท่านิ้วชี้ มาใช้เป็นยาบรรเทาพิษเฉพาะหน้าก่อนนำส่งโรงพยาบาล (รากรางจืดจะมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า) ดินที่ใช้ปลูก ถ้าผสมขี้เถ้าแกลบหรือผงถ่านป่น จะช่วยให้ต้นรางจืดมีตัวยามากขึ้น

เรามาฟอกเลือดให้สะอาดโดยการกินรางจืดกันเถอะคับ

เกาหลีมีโสม... บ้านเราก็มีกระชาย

เกาหลีมีโสม... บ้านเราก็มีระชา
กระชาย...โสมของไทย แก้สารพัดโรค เป็นยาอายุวัฒนะ ปั่นคั้นน้ำ ใส่น้ำผึ้งนิด มะนาวหน่อย แช่เย็นชื่นใจ ดื่มอร่อยมาก มีวิตามินซี, บี1, บี3, บี6, และแคลเซียม



เครื่องปรุง : กระชาย 1 ขีด, น้ำผึง 2 ช้อนโต๊ะ, มะนาว 2 ลูก

วิธีทำ
กระชาย ล้างน้ำให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไปผสม ปรุงรสตามในชอบ แช่เย็นแล้วดื่มได้เลย

สรรพคุณ
บำรุงกระดูก เพราะมีแคลเซียมสูง
บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น
ปรับสมดุลของฮอร์โมน
ปรับสมดุลของความดันโลหิต ความดันโลหิตที่สูงจะลดลง ความดันโลหิตที่ต่ำจะสูงขึ้น
แก้โรคไต ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น
ป้องกันไทรอยด์เป็นพิษ
บำรุงมดลูก ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ขับน้ำคาวปลา
แก้ปัญหาผมหงอก ผมร่วง
บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะเกร็ง
ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต มะเร็งตอมลูกหมาก
แก้ปัญหาไส้เลื่อน


ลังจากได้รับรู้ถึงสรรพคุณ บวกกับได้ทำน้ำกระชายสูตรหวานอมเปรี้ยว แช่เย็น เก็บไว้รับประทานได้หลายวัน ครั้งแรกที่ดื่มรสชาติอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคน แต่เมื่อได้ลองดื่มหลาย ๆ ครั้งคุณอาจจะติดใจในรสชาติเหมือนผมก็ได้ บ๊าย บาย โรงพยาบาล..

ขมิ้นชัน กินถูกเวลา ปลอดโรค ห่างไกลโรงพยาบาล

ขมิ้นชันเป็นตำหรับสมุนไพรพื้นบ้านที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันเป็นอย่างดี แต่น้อยคนนักจะรู้จักนำมาใช้ประโยชน์นานานับประการ


มิ้นชัน กินถูกเวลา ปลอดโรค ห่างไกลโรงพยาบาล
ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ, ซี, อี ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานพร้อมกันทั้ง 3 ตัว จึงมีผลทำให้ช่วยลดไขมันในตับ, สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร, ช่วยย่อยอาหาร, ทำความสะอาดให้ลำไส้, เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ, ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งตับ, สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง, กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไป แล้วสะสมในร่างกายที่เตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง, ใช้ขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังการคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

กินขมิ้นชันให้ตรงเวลา ที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้นจะได้ผลตรงกับประเด็นที่ต้องการจะ บำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูระบบของอวัยวะจะออกฤทธิ์ได้มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว ถ้ากินขมิ้นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ และส่งต่อไปยังผิว

เวลา 03.00-05.00 น. การรับประทานขมิ้นชันในช่วงเวลานี้จะช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ทำให้ปอดแข็งแรง และช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง


เวลา 05.00-07.00 น. จะช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่ ซึ่งถ้าหากคุณเคยรับประทานยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้รับประทานขมิ้นชันเวลานี้ เพราะขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของลำไส้ใหญ่ แต่ต้องรับประทานเป็นประจำจึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อช่วยให้ขับถ่าย ได้เป็นปกติ นอกจากนี้ขมิ้นชันยังช่วยแก้ปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก และปัญหาลำไส้ใหญ่ขับถ่ายน้อยหรือมากจนเกินไปได้เช่นกัน แต่ถ้าหากลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้รับประทานขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิร์ต นมสด น้ำผึ้ง มะนาวหรือน้ำอุ่นก็ได้ โดยขมิ้นชันจะช่วยล้างผนังลำไส้ให้สะอาด ไม่มีคราบเกาะอยู่ที่ผนังลำไส้ และเมื่อลำไส้สะอาดจะทำให้ไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว ป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวารและโรคมะเร็งลำไส้ได้เช่นกัน


เวลา 07.00-09.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารที่เกิดจากการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และยังลดอาการท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมองและป้องกันความจำเสื่อมได้


เวลา 09.00-11.00 น. ช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลที่ปาก อ้วนเกินไป และผอมเกินไปซึ่งเกี่ยวข้องกับม้าม นอกจากนี้ยังลดอาการของโรคเกาต์ ลดอาการเบาหวาน


เวลา 11.00-13.00 น. สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง แต่ถ้าหากรับประทานขมิ้นชันเลยเวลา 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปยังผิวหนัง (แต่ส่วนมากมักไปไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป อวัยวะส่วนอื่นจะดึงไปใช้งานก่อนเลยมาไม่ถึงผิวหนัง) จึงต้องลงขมิ้นชันทางผิวหนังช่วยอีกทางหนึ่ง


เวลา 15.00-17.00 น. ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรรับประทานน้ำกระชายเวลานี้ จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้


วิธีที่ง่ายที่สุดในการรับประทานชมิ้นชัน คือ การรับประทานแบบแคปซูล ซึ่งแบบแคปซูลมีขายตามร้านขายยาทั่วไป หาซื้อได้ง่ายสะดวก พกพาไปได้ทุกที่

โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบรับประทานหลังอาหาร ครั้งละ 2 แคปซูล โดยไม่ได้ยึดติดกับเวลามากนัก เพื่อความสบายใจ และจะรับประทานทุกวัน เป็นการป้องกันให้ตัวเองห่างไกลโรงพยาบาลได้ดีที่สุด

เฝ้าระวังช่วงน้ำท่วม กับ โรคไข้เลือดออก ที่มากับยุง

เฝ้าระวังช่วงน้ำท่วม กับ โรคไข้เลือดออก ที่มากับยุง
ในช่วงน้ำท่วมนี้ โรคที่ต้องเฝ้าระวังและยังเป็นปัญหาสำหรับชาวไทยที่ประสบอุทกภัยเนื้องจาก น้ำขัง และฝนตกชุก และโรคภัยที่มาจากสัตว์มีพิษต่างๆ แต่ที่เลี่ยงยากที่สุดคือ ยุง...พาหะของโรคไข้เลือดออก


ปัญหาที่พบในการดูแลผู้ป่วยไข้เลือดออก
เมื่อเด็กเป็นไข้เลือดออก พ่อแม่ ผู้ปกครองจะวิตกกังวลกลัวเด็กจะได้รับอันตราย มักจะขอให้แพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยายาลซึ่งการดูแลเด็กที่เป็นไข้เลือดออก พ่อแม่ดูแลได้ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ทำความเข้าใจในการดูแลเด็กให้ถูกต้องดังต่อไปนี้
1.เช็ดตัวบ่อยๆ ด้วยผ้าชุบน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นบิดหมาด เช็ดบริเวณใบหน้า ลำตัว ซอกคอ รักแร่ แผ่นหลัง และหน้าผาก เช็ดนานประมาณครั้งละ 15 นาที ผู้ป่วยควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่หนามากหรือห่มผ้าบางๆ นอนพักผ่อน

2.เมื่อมีไข้สูงหรือปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัวให้กินยาพาราเซตามอลโดยใหัห่างกันได้ ทุก 4-6 ชั่วโมง

3.ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือน้ำผลไม้ใส่เกลือเล็กน้อย ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนไม่สามารถดื่มน้ำได้ ให้จิบครั้งละน้อยๆ จิบบ่อยๆ ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว

4.อาหารควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นมสด อาหารรสไม่จัด ควรงดเว้นอาหารเครื่องดื่มที่มีสีแดง ดำ หรือน้ำตาล

ระยะไข้เลือดออก

มักจะมีไข้สูงอยู่นาน 2-7 วัน การให้ยาลดไข้จะช่วยให้ไข้ลดชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาไข้ก็จะสูงขึ้น การเช็ดตัวลดไข้จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายขึ้น ถ้าผู้ป่วยอยู่ในระยะมีไข้อาการไม่รุนแรง ท่านสามารถดูแลเองได้โดยไม่จำเป็นต้องรับไว้ในโรงพยาบาล

อาการอันตราย
เมื่อผู้ป่วยมีอาการ ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
1.ซึม อ่อนเพลียมาก ดื่มน้ำและกินอาหารได้น้อยลง
2.กระสับกระส่าย หงุดหงิด
3.คลื่นไส้ อาเจียนตลอดเวลา
4.ปวดท้องมาก
5.มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดา อาเจียนหรืออุจจาระเป็นเลือดหรือเป็นสีดำ
6.กระหายน้ำตลอดเวลา
7.ร้องกวนตลอดเวลา(ในเด็กเล็ก)
8.ตัวเย็นชื้น สีผิวคล้ำ หรือตัวลายๆ
9.ปัสสาวะน้อยลง หรือ ไม่ถ่ายปัสสาวะเป็นเวลานาน

ข้อระวังระยะช็อก
ระยะช็อก เป็นระยะอันตรายต้องให้แพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งพบผู้ป่วยมีอาการซึม อ่อนเพลีย ตัวเย็นชื้น สีผิวคล้ำลง ตัวลาย อาจมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ แสดงว่าเข้าสู่ระยะช็อก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สติดี พูดจารู้เรื่องต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที ระหว่างการเดินทางให้พยายามกระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือแร่ หรือน้ำผลไม้บ่อยๆ


การป้องกันโรคไข้เลือดออก

1.ป้องกันไม่ให้ยุงกัด ตอนกลางวัน นอนในมุ้งหรือห้องติดมุ้งลวด ไม่เล่นในมุมมืดที่ไม่มีลมพัดผ่าน ในห้องทำงาน ห้องเรียน ควรมีแสงสว่างส่องถึงและมีลมพัดผ่านสะดวก

2.กำจัดยุง ด้วยการพ่นยาฉีดกันยุงในบริเวณมุมอับภายในบ้าน ตู้เสื้อผ้า และบริเวณรอบๆ บ้านทุกสัปดาห์

3.กำจัดลูกน้ำ และควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายไม่ให้มีลูกน้ำในบริเวณบ้านและโรงเรียน เปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้ทุกสัปดาห์ ภาชนะใส่น้ำในบ้าน ปิดฝาให้มิดชิด ถ้าปิดไม่ได้ให้เปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ จานรองขาตู้กับข้าวใส่เกลือ หรือน้ำส้มสายชู ผงซักฟอก อ่างหรือบ่อเลี้ยงต้นไม้ใส่ปลาหางนกยูงลงไป จองรองกระถางต้นไม้ใส่ทรายลงไปเพื่อดูดซับน้ำส่วนเกิน เศษภาชนะเหลือใช้รอบบ้านเป็นที่ขังน้ำได้ เช่น กระป๋อง ยางรถยนต์ ให้เก็บคว่ำ ฝัง หรือ ทำลาย

อย่าลืมนะครับ จะบริจาคอะไรให้ผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมก็ไม่ควรลืม ผลิตภัณฑ์ใช้กันยุงต่างๆ ให้ผู้ประสบภัยด้วยนะครับ ผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดก็มีหลากหลายชนิด เช่น แบบโลชั่นใช้ทา แบบน้ำใช้พ่นตามผิวหนัง แบบจุดไฟใช้จุดกันยุง หรือ แบบเคมีสเปรย์ใช้พ้นทั่วบริเวณก็ได้ครับ โชคดีมีชัย พบกันโพสหน้าสวัสดีครับ

มาปลุกต้นมะรุมกันดีกว่า

มาปลุกต้นมะรุมกันดีกว่า (เรามาตั้งโครงการ "ลืมโรงพยาบาล" กันดีไหม)
เชื่อหรือไม่ บ้านใครมีต้นมะรุม เปรียบเสมือนมีโรงพยาบาลไว้ที่บ้านท่าน



มะรุม ต้นไม้ขนาดกลางที่ขึ้นอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย เราจะนิยมนำมาทำอาหาร เช่น แกงส้ม แต่รู้ไหมว่า ยังมี สรรพคุณที่ซ่อนอยู่ในมะรุมอยู่อีกหลาย หลายสรรพคุณมาก เรียกว่า สรรพคุณครอบจักรวาลกันเลยทีเดียว



ต่างประเทศนำไปวิจัย พบสารสำคัญ ต่อต้านโรคมะเร็ง เบาหวาน และที่สำคัญ โรคเอดส์ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ต่างก็รู้ว่าไม่มียาประเภทไหนสามารถรักษาให้หายขาดได้

แต่ถ้าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้รับเชื้อเอดส์ สามารถทานมะรุม เพื่อยังยั้งเชื้อเอดส์ไม่ให้ไปสู่ทารกที่กำลังจะคลอดได้ โอ้..พระเจ้า เป็นไปได้จริงๆ

มะรุมกำลังถูกวิจัย โดยกลุ่มองค์กรวิจัยทางการแพทย์จากทั่วโลกให้ความสำคัญอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะประเทศแถบ อเมริกา ยุโรป เอเชีย ต่างตื่นเต้นกับผลวิจัยที่ได้รับ (อืม..ของเขาดีจริงๆ อยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ทำไมจะไม่สน แถมราคาถูกมากๆ ไม่ต้องเทียบกับยาราคาแพงที่สรรพคุณเหมือนหรือใกล้เคียงกัน มันเทียบกันไม่ได้)

นอกจากสรรพคุณที่กล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีสรรพคุณอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ยกตัวอย่าง เช่น โรคขาดสารอาหาร โรคตาบอดในเด็กแรกเกิด โรคความดันโลหิตสูง โรคไขข้อกระดูกอักเสบ โรคเก๊า โรครูมาติซั่ม โรคตาฟาง โรคต้อตา โรคหน้ามืดตามัวในผู้สูงอายุ โรคลำไส้อับเสบ โรคพยาธิ โรคปอด โรคหอบหืด โรคคอหอยพอก โรคยอดนิยมภูมิแพ้ เป็นต้น นี้คือสรรพคุณคร่าวๆ แต่ยังมีอีกเยอะที่ยังไม่ได้กล่าวถึง



กินมะรุมเป็นประจำ จะช่วยควบคุม เชื้อมะเร็งไม่ให้ลุกลามไปยังอวัยวะต่างๆได้ผลดีมาก เชื้อมะเร็งที่เราๆ ท่านๆ เป็นหรือยังไม่เป็น จะมีติดตัวกันมาตั้งแต่เกิด

เชื่อไหม!! มันเป็นเซลเนื้อร้ายที่แอบแฝงมากับเราทุกยุค ทุกสมัย แต่...การที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งในส่วนอวัยวะต่างๆ ได้นั้น มันต้องถูกกระตุ้น...โดยอาหาร และ สิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เราได้รับกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เจ้าเชื้อมะเร็งร้ายนี้ถึงจะแพร่กระจาย และ เกิดการขยายเซล ไปตามจุดอวัยวะของร่างกายเรา หรือที่เรียกกันว่า โรคมะเร็งที่นั้น ที่นู้น ที่นี่ ฯลฯ เพราะมันเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย และเป็นกันได้ ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย

เห็นภัยร้ายที่มาคร่าชีวิตชาวโลกอันดับหนึ่งแล้วใช่ไหมครับ อย่างนี้เรามาอ่านกันต่อว่า กินมะรุมอย่างไรให้ได้ผล และ การรักษาสำหรับคนที่เป็นมะเร็งกันดีกว่า



ใบมะรุมสด ชงกินก็ได้ กินสดๆก็ได้ ให้นำใบไม่แก่ และ ไม่อ่อนเกินไปมาปรุงอาหาร แล้วแต่ความถนัด
เด็กทารกจนถึงเด็กอายุไม่เกิน 2 ขวบให้ทานแต่น้อย เพราะใบสดมีธาตุเหล็กสูง จึงไม่ควรทานมาก

เด็กในวัย 3-5 ขวบควรทานไม่เกินวันละ 5 ใบ จนเด็กอายุถึง 10 ขวบ ก็เพิ่มตามขนาดอายุได้ แต่ไม่ควรทานมาก เพราะจะทำให้ได้รับธาตุเหล็กสะสมในร่างกายมากเกินไป เป็นผลเสียต่อร่างกายได้

วัยรุ่น จนถึง ผู้ใหญ่ ทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือใช้ปรุงอาหารก็ได้ ถ้าอยากให้ได้ผลไวสำหรับผู้ใหญ่ ควรคั่นน้ำจากใบสด ให้ได้ 1 ช้อนโต๊ะ วัยรุ่น 1 ช้อนชาก็พอ

ถ้าจะนำมาประกอบอาหาร ไม่ควรทำให้สุก เอาแค่ลวกๆ ก็พอ สารอาหารจะได้อยู่ครบถ้วน ส่วนใครไม่เคยทานมาก่อน แล้วเกิดอาการท้องเสีย ไม่ต้องตกใจ นั้นเป็นเพราะร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้ ก็ควรจะทานแต่น้อย ค่อยๆเพิ่มไปจนถึงกำหนด ร่างกายถึงจะปรับสมดุลได้



ฝักสด นำมาปอกเปลือก ปรุงอาหารได้เลย ฝักอ่อนก็ดี ทานได้ทั้งกาก ฝักไม่แก่มากก็ทานได้ โดยเฉพาะแกงส้มมะรุม (สุดยอดอาหารพันคุณ ชอบมาก..)



เมล็ด นำมาสกัดเป็นน้ำมัน ใช้ทาผิว รักษาโรคเก๊า ปวดไขข้อ ไขข้อเสื่อม โรคผิวหนังแห้ง เครื่องสำอางบางยี่ห้อใช้น้ำมันมะรุมมาเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำเครื่องสำอาง และที่เราๆ ท่านๆ คาดไม่ถึงคือ นาฬิกายี่ห้อดังต่างๆ ใช้น้ำมันมะรุมเป็นสารหลอลื่นในกลไกของนาฬิกา เพราะมีคุณสมบัติไม่เปลี่ยนสภาพ แม้จะเก็บไว้เป็นระยะเวลายาวนาน (โอ้ว..สุดยอดสารหล่อลื่นของโลกสกัดมาจากเม็ดมะรุม)

กากที่เหลือจากการเคี้ยวเมล็ด นำมาใช้กรองน้ำสะอาดดื่มได้ ทำให้น้ำบริสุทธ์ เพราะสารฆ่าเชื้อโรคในกากมะรุม จะมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อกรองน้ำเสร็จแล้ว...   อย่าทิ้ง!!! ใช้ทำปุ๋ยต้นไม้ได้อีก (โห้...ใช้กันคุ้มเลยจริงๆ)



เปลือกจากลำต้นมะรุม  นำมาป่นใส่ผ้าทำเป็นลูกประคบ ร้านขายยาแผนโบราณมีกันแทบทุกร้าน ยิ่งสปาร์ที่เราๆ ท่านๆ เคยไปเสียเงินกันเป็นพัน เขาใช้ลูกประคบมะรุมกันทั้งนั้น แก้ปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี (อ้าว...น้องๆที่ร้านสปาร์จะไม่ได้เจอพี่อีกแล้ว...เศร้า)

ดอกมะรุม ใช้ต้มทำน้ำชา ลดความเครียด ผ่อนคลาย หลับสบาย (นอนไม่หลับ ลองจิบน้ำดอกมะรุมก่อนนอนดูสิครับ)

ใบตากแห้ง (ฮีโร่ของมะรุมเลยก็ว่าได้) นิยมนำมาตากในที่ร่ม อากาศปลอดโปร่ง ประมาณ 3-4 วัน แล้วนำใบแห้งสนิท มาปั่นให้ละเอียด กรอกใส่แคปซูล



จากนั้นให้เก็บในขวดทึบแสง (เก็บในขวดยาเก่าๆที่ท่านใช้หมดแล้วและมีซองกันชื้นด้วยยิ่งดี) ไม่อย่างนั้นสารอาหารจะหมดไป เน้นว่าต้องทึบแสงนะครับ ที่เราเห็นว่างขายกันตามร้านขายยา ถ้าเป็นเจ้าที่แพคใส่ถุงยาใสๆ อันนี้ไม่แนะนำ เพราะโดนแสงมานานแล้ว ให้หาเจ้าที่แพคใส่ขวดทึบแสงจะดีกว่า

แต่ที่ดีที่สุดควรทำเอง ถ้าทำได้ เพราะจะอยู่ในการควบคุมดูแลเรื่องความสะอาดของเรา ทำเอง กินเอง สะอาด ปลอดภัย อีกอย่าง อย. ออกมาเตือนแล้วนะครับ ว่าควรระวังการบริโภคแคปซูลมะรุมที่ขายอยู่ตามท้องตลาด เพราะอาจมีเชื้อรา หรือ สิ่งสกปรกปลอมปน แทนที่จะได้คุณ กับ ได้โทษแทน ไม่คุ้มกันครับ แต่ถ้าเจ้าไหนไว้ใจได้สะอาด อุดหนุนไปเลยครับ ถ้าไม่มีเวลาทำเอง หรือ ต้องการความสะดวก

หมดเรื่องเล่า มะรุมครอบจักรวาล กันเพียงเท่านี้ อย่าลืมบ้านใครที่ยังไม่ปลูก หาพื้นที่ปลูกไว้ นะครับ โรงพยาบาลจะย้ายมาสู่บ้านท่านแล้ว โชคดีมีชัยเจอกันโพสหน้า ขอบคุณครับ