BumQ 4

วิตามิน เกลือแร่ ขาดไม่ได้ตลอดชีวิต

วิมิ เกลือร่
คุณค่าสารอาหารที่ขาดไม่ได้ตลอดชีวิต
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากเห็นลูกน้อยเติบโตอย่างสมบูรณ์ มีสุขภาพแข็งแรงและพัฒนาการสมดุลทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญา
 
 
แต่การที่ลูกรักจะเติบโตอย่างสมบูรณ์ที่สุดนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่และสังคมแล้วสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ละเลยไม่ได้ คือ การให้ลูกมีโภชนาการที่ดี รับประทานแต่อาหารที่มีคุณภาพ ได้สารอาหารครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ถึงแม้ว่าเด็กๆ ต้องการสารอาหารจำพวกวิตามินและเกลือแร่ไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้เลย เพราะจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายบกพร่องได้ เนื่องจากวิตามินและเกลือแร่แต่ละชนิดมีหน้าที่เสริมสร้างร่างกายแตกต่างกันไป เช่น

ซีลีเนียม
ช่วยป้องกันเซลล์เนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลาย ทั้งมีส่วนสำคัญต่อการผลิตฮอร์โมนของร่างกายหลายชนิดและช่วยบำรุงสุขภาพของเส้นผม ผิวหนัง รวมทั้งช่วยบำรุงรักษาสายตาเด็กให้เป็นปกติ

โมลิบดินัม
ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอนไซม์ที่ช่วยผลิตไขมันเพื่อใช้ในการเติบโตของสมอง

ฟลูออไรด์
มีประโยชน์ในการทำงานร่วมกับแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันให้ลูกน้อยฟันไม่ผุ

โครเมียม
มีส่วนช่วยในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยควบคุมระดับไขมันและระดับโคเลสเตอรอลในเลือด

ม้ว่าวิตามินบางชนิดร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้ แต่วิตามินและเกลือแร่ส่วนใหญ่แล้วร่างกายเราผลิตเองไม่ได้ต้องรับประทานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
 
 
สำหรับเรื่องอาหารและโภชนาการของลูกๆนั้น ผู้เป็นพ่อและแม่คงดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักและความตั้งใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าการเลือกอาหารบางประเภท เช่น นมสำหรับเด็กหรืออาหารเสริมต่างๆ คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องเพิ่มความพิถีพิถันมากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดเองก็มีความแตกต่างกันในปริมาณของวิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นเมื่อเลือกซื้อนมและอาหารเสริมควรดูตารางสารอาหารว่ามีวิตามินและเกลือแร่ที่ครบถ้วนตามความต้องการหรือไม่ เพราะเมื่อลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ลูกน้อยก็จะมีพัฒนาการที่ดี พร้อมที่จะเติบโตเป็นเด็กที่สมบูรณ์อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ปรารถนา และทุ่มเทแรงการแรงใจมาตลอด.

คุณอายุจริงเท่าไร

คุณอายุจริงเท่าไร
ลองทำเลขชุดนี้ดู คุณอาจอายุน้อยกว่าที่คิด
ซมอน แซด เพื่อนผม เป็นคนแกร่งมุ่งมั้นเด็ดเดี่ยวอย่างหาตัวจับยาก แต่ต้องเผชิญโรคร้ายเกี่ยวกับเส้นโลหิตและระบบการหมุนเวียนโลหิต ผมกลัวว่าไซมอน ซึ่งสูบบุหรี่มาตลอดชีวิตจะอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไม่นาน

วันหนึ่งผมถามเขาว่า
"ไซมอน คุณอายุเท่าไหร่แล้ว"
"ไมก์" เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "คุณก็รู้นี่ว่าผมอายุ 49"
"แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการสูบบุหรี่ทำให้คุณแก่มากกว่านั้น ตอนนี้คุณอายุ 57 แล้วนะ"

ไม่มีใครในครอบครัวของไซมอนอยู่ถึงอายุ 57 ปี เขาจึงเข้าใจทันทีว่าผมหมายความอย่างไร

ผมเชื่อว่าความแตกต่างระหว่างอายุตามปฏิทินกับอายุจริงของคนเรา เป็นผลจากสุขนิสัยเป็นเรื่องสำคัญ เราอาจคำนวณหาอายุทางกายภาพของเราเปรียบเทียบกับคนอื่นๆได้โดย ให้ค่ากิจกรรมต่างๆเป็นตัวเลข แล้วเอามาบวกเข้าหรือลบออกจากอายุตามปฏิทินของเรา

ผมคิดระบบนี้ขึ้นมาโดยใช้วิธีการทางสถิติกับองค์ประกอบทางสุขภาพกว่า 125 รายการ หากรวบรวมตัวเลขจากคำตอบทุกข้อในแบบสำรวจฉบับสมบูรณ์แล้วนำไปคูณกับตัวคูณของกลุ่มอายุ คุณก็จะได้อายุทางกายภาพหรืออายุ "จริง"

เมื่อตอบคำถามต่อไปนี้ คุณก็จะพอรู้คร่าวๆว่ากำลังแก่ลงอย่างรวดเร็วกว่า หรือ แก่ช้ากว่าเพื่อนร่วมวัย แต่คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำทีเดียว เพราะคำถาม คัดมาเพียงสิบข้อจากแบบสอบถามฉบับสมบรูณ์ ขอให้ใส่เครื่องหมายบวกหรือลบในคำตอบด้วย เช่น ถ้าบอกว่า "บวก 2 ปี" ก็หมายความว่า +2

1. ความดันโลหิตของคุณเป็นเท่าไร
ก. 90/65 ถึง 120/81 : ลบออก 3 ปี
ข. 131/87 ถึง 140/90 : บวก 1
ค. 141/91 ถึง 150/95 : บวก 2
ง. ถ้าสูงกว่า 151/96 บวก 3

2. คุณกินอาหารมื้อเช้าดีๆบ่อยเพียงใด
ก. เกินกว่าห้าครั้งต่อสัปดาห์ : ลบออก .5 ปี
ข. สองหรือสามครั้งต่อสัปดาห์ : บวก .5 ปี
ค. ไม่ถึงสองครั้งต่อสัปดาห์ : บวก 1

3. คุณนอนหลับโดยเฉลี่ยคืนละเท่าไร
ก. 6.5 ถึง 7.5 ชั่วโมง : ลบออก 1 ปี
ข. 7.5 ถึง 8.5 ชั่วโมง : ลบออก .5 ปี
ค. ไม่ถึง 6.5 ชั่วโมง : บวก 1
ง. เกิน 8.5 ชั่วโมง : บวก 1.5

4. ช่วงสามปีที่ผ่านมา คุณใช้เวลาโดยเฉลี่ยวันละเท่าไรเพื่อออกกำลังเช่น เดิน
ก. เกิน 15 ชั่วโมง : ลบออก 1.5 ปี
ข. เกินหนึ่งชั่วโมง : ลบออก 1
ค. เกินกว่า 20 นาที : ลบออก .5
ง. ห้าถึงสิบนาที : บวก .5
จ. ไม่ถึงห้านาที : บวก 1
ฉ. ไม่เลย : บวก 1.5

5. คุณดื่มแอลกอฮอล์วันละเท่าใด   (การดื่ม 1 หน่วย หมายถึง ไวน์ .1 ลิตร, เบียร์ .3 ลิตร หรือสุรา .05 ลิตร)
ก. หนึ่งหรือสองหน่วย : ชายอายุเกิน 40 ลบออก 1
ข. .5 ถึงหนึ่งหน่วย : ชายอายุเกิน 40 และหญิงอายุเกิน 50 ลบออก .5
ค. ศูนย์ถึง .5 หรือ สองถึง 2.5 หน่วย ชายอายุต่ำกว่า 40 บวก 1
ง. ศูนย์ถึง .5 หรือ หนึ่งถึง 2.5 หน่วย หญิงอายุต่ำกว่า 50 บวก 1
จ. เกินสาม : บวก 1.5

6. แต่ละวัน คุณกินผลไม้กี่ครั้ง
ก. ตั้งแต่สี่ครั้งขึ้นไป : ลบออก 1 ปี
ข. ไม่เลย : บวก 1

7. พ่อแม่ของคุณมีชีวิตอยู่ถึงอายุเท่าไร
ก. เกิน 75 ปีทั้งคู่ : ลบออก 1.5 ปี
ข. แม่อยู่เกิน 75 ปีคนเดียว : ลบออก 1
ค. พ่ออยู่เกิน 75 ปีคนเดียว : ลบออก .5
ง. ไม่มีใครอยู่เกิน 75 ปี : บวก 1.5

8. สถานภาพทางการสมรสของคุณเป็นอย่างไร
ก. แต่งงานแล้วและมีความสุขดี : ชายลบออก 1.5 ปี หญิงลบออก .5
ข. ชายหย่าร้างหรือหญิงเป็นม่าย : บวก 1
ค. หญิงหย่าร้าง : บวก 2
ง. ชายโสด : บวก 3

9. จำนวนญาติมิตรที่คุณพบปะเดือนละเกินหนึ่งครั้ง

ก. หกคน : ลบออก 1.5 ปี
ข. สามถึงห้าคน : ลบออก 1
ค. สองคน : ลบออก .5
ง. ไม่มีเลย : บวก 2

10. คุณเลี้ยงสุนัขหรือเปล่า
ก. เลี้ยง : ลบออก .5 ปี

รวบรวมจำนวนปีจากคำตอบทุกข้อ แล้วคูณผลลัพธ์ที่ได้กับจำนวนต่อไปนี้ :
.3 ถ้าคุณอายุต่ำกว่า 40 ปี
.4 ถ้าอยู่ในช่วง 40 ถึง 49
.5 ถ้าอยู่ในช่วง 50 ถึง 59
.6 ถ้าอยู่ในช่วง 60 ถึง 69
.5 ถ้าอยู่ในชวง 70 ถึง 79
.4 ถ้าอยู่ในช่วง 80 ถึง 89
.3 ถ้าอยู่ในช่วง 90 ถึง 99 ปี

ท้ายที่สุด นำตัวเลขที่ได้ซึ่งจะมีค่าเป็นจำนวนบวกหรือติดลบนี้ ไปรวมกับตัวเลขอายุตามจำนวนปีของคุณ ก็จะได้คำตอบเป็นอายุ "จริง" หรืออายุกายภาพโดยประมาณของคุณ

คุณพอใจตัวเลขที่ได้หรือไม่?  ถ้าไม่พอใจก็มีข่าวดีจะบอก คุณทำให้ตัวเลขนี้ดีขึ้นได้ เพียงแต่ตัดสินใจจะดูแลร่างกายของตัวเอง

  • ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยมีประวัติว่ามีปัญหาการไหลของเลือดหรือมีอาการต่อต้านแอสไพริน ก็ให้กินแอสไพรินขนาด 80 ถึง 325 มิลลิกรัม วันละเม็ด เพื่อช่วยไม่ให้เส้นเลือดอุดตันและลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ใช้ไหมขัดฟันและแปรงฟันทุกวันเพราะจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเหงือกนั้นจะทำให้เกิดการอักเสบได้ทั่วร่างกายรวมถึงในเส้นโลหิตด้วย
  • ทั้งวิตามินซีและอี ดูเหมือนจะช่วยทำให้หลอดเลือดโล่ง กินวิตามินอีขนาด 400 ไอยู วันละเม็ด และกินอาหารที่มีวิตามินซีวันละสามมื้อ
  • มีเพศสัมพันธ์ เพราะจะช่วยลดความเครียดและทำให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
  • หาสุนัขมาเลี้ยง คนที่เลี้ยงสุนัขจะคงความเยาว์วัยอยู่ได้นานกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะได้ออกกำลังไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้คนเลี้ยงแมวไม่เกี่ยว
    ไซมอนเลิกสูบบุหรี่ เริ่มออกกำลังและกินอาหารอย่างถูกต้องเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ผลที่ได้รับนั้นมหาศาล เมื่อสองปีก่อน เขาโทรฯบอกผมด้วยความดีใจว่า "ไมก์ ผมได้เป็นปู่แล้ว"

    4 คำถามเกี่ยวกับข้าวโอ๊ตและสุขภาพ

    4 คำถาม
    เกี่ยวกับข้าวโอ๊ตและสุขภาพ
    ารออกกำลังกาย กินอยู่ถูกต้องและไม่เครียดคือหนทางสู่สุขภาพที่ดี ทั้งยังหลีกลี้จากโรคภัย ผู้ที่จำเป็นต้องมีความเป็นอยู่เร่งรีบก็มองหาหนทางลัดสู่สุขภาพ หนึ่งในหนทางเหล่านั้นคืออาหารสุขภาพที่มีประโยชน์ เตรียมง่าย และมีรสอร่อย ซึ่งหนึ่งในอาหารดังกล่าวได้แก่ข้าวโอ๊ต แม้จะไม่ใช่ของใหม่ แต่ข้าวโอ๊ตก็มีคุณสมบัติพิเศษที่เราอาจจะยังไม่ทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันมะเร็งบางชนิด

    ลองมาทำความรู้จักกับข้าวโอ๊ตกันดีไหม

    1.ถาม : ข้าวโอ๊ตต่างจากข้าวอื่นๆอย่างไร
    ข้าวโอ๊ตเป็นเมล็ดธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าวเจ้า ข้าวสาลี มีแหล่งผลิตสำคัญอยู่ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซีย ยุโรป และออสเตรเลีย ชาวทวีปอเมริกาและยุโรปนิยมบริโภคมานับร้อยปีแล้ว คุณค่าทางอาหารคือเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยม มีโปรตีนสูงกว่าข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าวเจ้า นอกจากนั้น ใยอาหารในข้าวโอ๊ตยังมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

    เนื่องจากข้าวโอ๊ตในสภาพธรรมชาติต้องใช้เวลานานในการหุงหา กระบวนการผลิตสมัยใหม่จึงนำข้าวโอ๊ตมาผ่านความร้อน สีเพื่อขัดเปลือกออก ตัดเป็นชิ้นเล็กผ่านไอร้อน แล้วนำมาบรรจุกระป๋อง พร้อมจะใช้เตรียมอาหารให้เสร็จเรียบร้อยได้ภายในไม่ถึงห้านาที

    ข้าวโอ๊ตที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยมีสองชนิด คือ
    • ข้าวโอ๊ตสุกเร็ว สำหรับต้มประมาณ 3-5 นาที
    • ข้าวโอ๊ตปรุงสำเร็จสำหรับชงรับประทาน

    ข้าวโอ๊ตยังมีคุณค่าทางอาหารอื่นๆอย่างเหลือเฟือ ได้แก่ แคลเซียมซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยการทำงานของระบบประสาทและคลายเครียด มีธาตุเหล็กซึ่งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและวิตามินบี1 ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตและช่วยการหมุนเวียนของโลหิต คุณสมบัติด้านโภชนาการซึ่งเด่นที่สุดของข้าวโอ๊ต คือ ลดคอเลสเตอรอลและลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

    2.ถาม : คอเลสเตอรอลคืออะไร
    คอเลสเตอรอลที่เรากลัวกันเป็นสารคล้ายไขมันอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายเราสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมา 70% ส่วนอีก 30% มาจากอาหารที่เรารับประทาน จึงพึงหลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ เครื่องใน และอาหารไขมันสูงอื่นๆ

    คอเลสเตอรอลแบ่งออกเป็นสองชนิด ได้แก่
    • คอเลสเตอรอลชนิดร้าย หรือ LDL (Low Density Lipoprotein) มีผลร้ายต่อร่างกายคือ ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดและเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
    • คอเลสเตอรอลชนิดดี หรือ HDL (High Density Lipoprotein) มีคุณสมบัติปกป้องหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลชนิดร้ายลงสู่ตับ แล้วเกิดกระบวนการขจัดออกจากร่างกายต่อไป
    3.ถาม : ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่กินแล้วอิ่มท้องให้พลังงาน
    เหตุใดจึงสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
    ถ้าจะเข้าใจคุณสมบัติอันวิเศษของข้าวโอ๊ตในเรื่องนี้ เราต้องมาทำความรู้จักกับเรื่องใยอาหารเสียก่อน

    ใยอาหาร (Fibre) มีสองชนิด และทั้งสองชนิดล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
    • Insoluble fibre เป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายในน้ำ ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายคล่อง มีใยอาหารชนิดนี้มากในข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต กล้วย ดอกกะหล่ำและถั่ว
    • Soluble fibre ใยอาหารชนิดละลายได้ในน้ำ มีคุณสมบัติสูงในการขจัดคอเลสเตอรอล ช่วยลดระดับความดันโลหิตในร่างกาย และช่วยให้ขับถ่ายคล่องเช่นกัน จึงลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสำไส้ใหญ่ ใยอาหารชนิดนี้มีมากในข้าวโอ๊ต

    องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริการะบุไว้เมื่อปี 1977 ว่าควรบริโภคข้าวโอ๊ตวันละ 1.5 ถ้วย โดยบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของอาหารไขมันต่ำที่รับประทานเป็นประจำ ข้าวโอ๊ตจำนวนนั้นมีใยอาหารแบบ Soluble fibre 3 กรัม จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับความดันโลหิตรวมทั้งลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้

    ข้าวโอ๊ตมี Soluble fibre ซึ่งจะทำหน้าที่กวาดคอเลสเตอรอลชนิดร้าย ที่เป็นส่วนเกินก่อนจะถูกดูดซับโดยร่างกาย จากการศึกษาพบว่า คนไข้โรคหัวใจที่บริโภคข้าวโอ๊ตสม่ำเสมอจะมีปริมาณคอเลสเตอรอลลดลง 27%

    ดังนั้นไม่ว่าจะเตรียมข้าวโอ๊ตด้วยวิธีใด ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการลดคอเลสเตอรอลชนิดร้ายและช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ทั้งสิ้น

    4.ถาม : เหตุใดข้าวโอ๊ตจึงเหมาะจะกินเป็นอาหารเช้า
    ปัจจุบัน เราตระหนักดีถึงความสำคัญของมื้อเช้า เพราะอาหารเช้าจะป้อนพลังงานชุดแรกหลังตื่นนอน ให้ร่างกายได้ค่อยๆดูดซับอาหารทีละน้อยไปใช้ในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะเริ่มวุ่นวายตั้งแต่เช้าตรู่

    คาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานของร่างกายแบ่งเป็น
    • คาร์โบไฮเดรตแบบเชิงเดี่ยว ได้จากน้ำตาลในขนมและน้ำอัดลม ย่อยง่าย ดูดซับเร็ว และมีคุณค่าทางอาหารน้อย
    • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะค่อยๆปล่อยพลังงานให้ร่างกายดูดซับไปใช้ได้เป็นระยะเวลานาน แถมยังเป็นพลังงานซึ่งพร้อมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ คนที่มีกิจกรรมมากควรรับประทานอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในสัดส่วนครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมด
    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนพร้อมใยอาหารมีมากในข้าวโอ๊ต ขนมปัง และผลไม้

    อาหารที่ดีควรช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซับวิตามินและแร่ธาตุได้นาน ใยอาหารแบบ Soluble fibre ของข้าวโอ๊ตช่วยรักษาระดับน้ำตาลกลูโคส ทำให้อิ่มท้อง ไม่หิวง่าย มีพลังงานเหลือเฟือสำหรับการงานตั้งแต่เริ่มต้นวันใหม่

    เมื่อรู้จักข้าวโอ๊ตดีขึ้น รวมทั้งเข้าใจคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมแก่การกินเป็นอาหารเช้าแสนอร่อย คุณจะไม่หันมาลองรับประทานข้าวโอ๊ตกันดูบ้างหรือ

    สำหรับคุณที่อาจจะยังไม่คุ้นกับธัญพืชรสอร่อยและมากด้วยคุณสมบัติในการป้องกันโรคภัยชนิดนี้ ลองเพิ่มคุณค่าง่ายๆด้วยการผสมข้าวโอ๊ตในเครื่องดื่ม กาแฟ นม หรือผสมในข้าวต้ม ข้าวสวย หากมีเวลาอีกนิด ลองใช้ข้าวโอ๊ตเป็นเครื่องปรุงอาหารทั่วไปทั้งคาวหวาน เช่น วุ้นข้าวโอ๊ต บัวลอยข้าวโอ๊ต ไก่ทอดข้าวโอ๊ต ลาบข้าวโอ๊ต และโจ๊กข้าวโอ๊ต เป็นต้น.

    อร่อยแล้วยังช่วยลดน้ำหนัก

    อร่อยแล้วยังช่วยลดน้ำหนัก
    ตัวอย่างรายการอาหารถูกปากที่กินบ่อย แต่ไม่อ้วน
    มื่อคุณควบคุมน้ำหนักตัว อาหารที่เลือกกินควรให้คุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายต้องการให้พลังงานเพียงพอ และควรอร่อยถูกปากด้วย นักโภชนาการแนะว่าอาหารของเราควรประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้แก่ผัก ผลไม้ อาหารพวกแป้ง ข้าวและธัญพืช ร้อยละ 55 มีโปรตีนได้ไม่เกินร้อยละ 15 และไขมันไม่เกินร้อยละ 30 หากอาหารสมดุลเช่นนี้ เราจะไม่รู้สึกหิวโหยระหว่างการลดน้ำหนัก


    หลายคนมักสงสัย ว่าแล้วเราจะเลือกกินอะไรดีถ้าต้องกินแต่เม็ดแมงลักหรือหัวบุกชีวิตคงแห้งแล้งแย่ นอกจากนั้น การอดอาหารที่ถูกปากมักทำให้น้ำหนักขึ้นลงฮวบฮาบ "ถ้ามัวจดจ่อแต่เรื่องอาหารที่ไม่ควรกิน ก็มักจะทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ" คาเรน มิลเลอร์โควัค ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโปรแกรมที่สถาบันควบคุมน้ำหนักเวตวอตเชอร์อินเตอร์เนชั่นแนลอธิบาย การลดน้ำหนักที่ได้ผลควรมาจากการเลือกกินอาหารที่ชอบในปริมาณที่พอเหมาะ

    อาหารลดน้ำหนักจึงไม่จำเป็นต้องจืดชืดเสมอไป เราอาจนึกไม่ถึงว่าอาหารรสอร่อยต่อไปนี้อาจช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย
     
    กล้วยอาหารที่อุดมด้วยโพแทสเซียมอย่างกล้วยอาจช่วยลดความดันโลหิตและมีเพียง 60 แคลอรีต่อลูกแทบไม่มีไขมันแถมยังอร่อยสมใจคนชอบกินของหวาน

    ไก่จะย่าง อบ หรือทำให้สุกด้วยเตาไมโครเวฟก็ได้ตามใจคุณ เนื้อไก่ครึ่งอกเลาะหนังและไขมันออกแล้ว (หนักราวเกือบขีด) มี 140 แคลอรี มีไขมันเพียงสี่กรัมและโปรตีนมากมาย

    แกงเลียงเป็นแกงร้อนๆซดแล้วชื่นใจที่ทำไม่ยาก หากไม่อยากโขลกเครื่องแกงเองก็มีเครื่องแกงเลียงสำเร็จรูปขายทั่วไป แกงเลียงหนึ่งถ้วยมีไม่เกิน 100 แคลอรี ให้พลังงานและไขมันต่ำ แถมยังได้ธาตุเหล็กจากใบแมงลัก และเบตาแคโรทีนจากฟักทองด้วย

    กุ้งแชบ๊วยแม้จะต้องระวังคอเลสเตอรอลไว้บ้าง แต่ก็มีไขมันอิ่มตัวน้อย และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจกุ้งแชบ๊วยราวหนึ่งขีดเผาหรือต้มมีเพียง 80 แคลอรี และมีไขมันน้อยกว่าหนึ่งกรัม

    ข้าวโพดคั่วอยากกินของขบเคี้ยวเค็มๆมันๆ หรือ ลองข้าวโพดคั่วสิ ข้าวโพดคั่วหนึ่งถ้วยครึ่งกับเนยเล็กน้อยมีไม่ถึง 70 แคลอรี แต่ต้องระวังปริมาณเนยซึ่งมีไขมันอยู่ และหากเป็นข้าวโพดคั่วชนิดหวานใส่คาราเมลก็จะมีแคลอรีสูงขึ้น

    ขนมจีนอาหารจานด่วนแบบไทยๆชนิดนี้ หนึ่งจานให้คาร์โบไฮเดรตที่คุณต้องการ มีไขมันน้อย และโปรตีนในปริมาณพอเหมาะ ขนมจีนน้ำยาหนึ่งจานมีราว 130 แคลอรี ขนมจีนซาวน้ำกับไข่ต้มหนึ่งในสี่ลูกมีราว 250 แคลอรี กินกับผักสดก็ดีมีประโยชน์

    แคนตาลูปนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆราวหนึ่งถ้วยจะมีเบตาแคโรทีนและวิตามินซีเท่าน้ำส้มคั้นครึ่งถ้วย มีเพียง 40 แคลอรีและมีไขมันน้อยกว่ากรัม

    เฉาก๊วยหั่นเฉาก๊วยลงในถ้วยขนมสักสองสามช้อนโต๊ะ เติมน้ำเย็น น้ำแข็งแล้วใส่น้ำเชื่อมเล็กน้อย ของว่างเย็นชื่นใจถ้วยนี้มีเพียง 70 แคลอรี

    เต้าหู้อาหารมังสวิรัติรสอร่อยนี้ ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อวัว หมู ไก่ ที่ไขมันได้เป็นอย่างดี ใช้ผัด แกง หรือใส่ต้มจับฉ่ายก็ได้ เต้าหู้หนึ่งขีดมีไม่ถึง 100 แคลอรี แต่ต้องระวังเต้าหู้ทอด ซึ่งจะมีแคลอรีเพิ่มมากมาย

    น้ำพริกอาหารที่มีรสเผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยวอย่างพอเหมาะนี้ แบ่งเป็นน้ำพริกแห้งเก็บไว้กินได้นานกับน้ำพริกผักจิ้ม ได้แก่ผักทั้งสดและลวกแล้วน้ำพริกกะปิหนึ่งช้อนโต๊ะมี 24 แคลอรี ส่วนน้ำพริกแห้งให้พลังงานมากกว่าเล็กน้อย

    น้ำเต้าหู้
    อุดมด้วยไฟโตเอสโตรเจนซึ่งเชื่อว่ามีส่วนช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม แถมยังมีโปรตีนสูง น้ำเต้าหู้หนึ่งแก้วไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม มีเพียง 150 แคลอรีและมีไขมันไม่อิ่มตัวเพียงสามกรัม

    ปลาทูน่าปลาทูน่ากระป๋องในน้ำเกลือราวครึ่งถ้วยมี 120 แคลอรี มีไขมันเพียง 2.5 กรัม และมีโปรตีน 23 กรัม

    ปลาหมึกแห้งของว่างเคี้ยวเพลินชนิดนี้ในห่อขนาด 40 กรัม มีเพียง 120 แคลอรี่ อุดมไปด้วยโปรตีนและมีธาตุเหล็กด้วย

    ฝรั่งผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว กรอบฉ่ำน้ำ กินอิ่มอร่อย ฝรั่งมีวิตามินซี 8 เท่าของส้มเขียวหวาน ฝรั่งเวียดนามผลขนาดกลางมีเพียง 80 แคลอรี

    ทอฟฟี่รสนมความอยากของหวานมักทำให้ผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักพลาดพลั้งกินอาหารไขมันสูงไปด้วย ทอฟฟี่รสนมเคี้ยวและอมเล่นให้รสหวานมันอยู่ราว 10 นาทีจนหายอยาก แต่มีไขมันแค่ 2.5 กรัม และมีเพียง 60 แคลอรี


    ส้มตำของว่างรสแซบจากนี้เป็นที่นิยมทั่วไป กุ้งแห้ง ถั่วลิสง และผักต่างๆ มีคุณค่าทางอาหาร ยางจากมะละกอดิบมีสารพาเพอิน เป็นเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน


    สับปะรดหวานชื่นใจ ชิ้นหนักราวขีดกว่าให้เส้นใยอาหาร มีวิตามินซีเพียงพอต่อความต้องการในหนึ่งวัน มีแค่ 70 แคลอรีและไม่มีไขมันเลย จะกินอย่างผลไม้หรือหั่นใส่ผัดผักหรือแกงเผ็ดก็อร่อย


    อกเป็ดเนื้อสัตว์ส่วนนี้อาจหาซื้อยากสักหน่อยแต่ก็อร่อย เนื้ออกเป็ดเลาะหนังออก นำมาย่าง (ไม่ใช่เป็ดย่างซึ่งไขมันสูง) ราวหนึ่งขีดมีเพียง 190 แคลอรี่ มีไขมันเพียงร้อยละห้าถึงสิบ ทั้งยังอุดมด้วยธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินบี

    ประโยชน์น่าทึ่งของแอสไพริน

    ประโยชน์น่าทึ่งของแอสไพริน

    แอสไพรินอาจเป็นยาที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกและสรรพคุณไม่ได้จำกัดเพียงการรักษาอาการเจ็บปวด การศึกษาใหม่ๆพบว่าแอสไพรินสามารถต่อสู่โรคร้ายแรงได้หลายชนิด "ปัจจุบันพบว่ายานี้มีผลต่อสุขภาพหลายด้าน ดิฉันจึงแนะนำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ไม่แพ้แอสไพรินและไม่มีปัญหาเรื่องเลือดออกกินในปริมาณต่ำ" แพทย์หญิงเดบรา จูเดลสัน ผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ สถาบันหัวใจสตรีในรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าว

    ต่อไปนี้คือโรคและอาการสำคัญบางอย่างที่สามารถป้องกันได้ด้วยแอสไพรินหรือยาที่มีฤทธิ์เหมือนแอสไพริน เช่น ยาในกลุ่มซาลิซิลเลท (ยาลดอักเสบที่ฤทธิ์เหมือนแอสไพริน เช่น เพนนิลบูตาโซนและอิมโพรเฟน ส่วนใหญ่ใช้แก้ปวดข้อ ไม่มีฤทธิ์ต่อระบบอื่นเหมือนแอสไพริน)

    โรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อม

    "งานวิจัยในอดีตที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการอับเสบในสมองมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม" นายแพทย์ริชาร์ด บี. ลิปทัน ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชระบบประสาทและระบาดวิทยาแห่งวิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ในนครนิวยอร์กกล่าวว่า ผลการศึกษาที่บ่งชี้ว่า ผู้ได้รับยาแก้อาการอักเสบเป็นประจำในการรักษาโรคอื่นๆเช่นข้ออักเสบหรือเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดมักไม่ค่อยเป็นโรคสมองเสื่อม

    "ผู้สูงอายุที่ได้รับแอสไพรินมีอัตราการเป็นโรคความจำเสื่อมลดลง" นายแพทย์ชาลส์ เอช. เฮนเนเกนส์แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามี กล่าว "ดังนั้นแอสไพรินอาจไม่ได้มีผลเฉพาะโรคสมองเสื่อมเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อผู้ป่วยจำนวนมากที่ความจำเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น"


    โรคหัวใจที่มีเบาหวานร่วมด้วย
    นักวิจัยพบข้อมูลว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีการผลิตสารที่ทำให้เกล็ดเลือดรวมตัวเป็นก้อนที่เรียกว่าทรอมบอกเซน (Thromboxane) เพิ่มขึ้น และผลการปฏิกิริยานี้ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าผู้ไม่ได้เป็นเบาหวานสองถึงสี่เท่า
    แอสไพรินช่วยป้องกันโรคหัวใจที่เกิดร่วมกับโรคเบาหวานโดยมีส่วนขัดขวางการผลิตทรอมบอกเซน การศึกษาครั้งสำคัญซึ่งควบคุมโดยหมอเฮนเนเกนส์พบว่าผู้ได้รับแอสไพรินสามารถลดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ถึงร้อยละ 44 และลดได้มากขึ้นในผู้ที่เป็นเบาหวาน สมาคมโรคเบาหวานสหรัฐฯแนะให้ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานกว่า 14 ล้านคนใช้แอสไพรินในขนาดต่ำเพื่อลดอุบัติการของโรคหัวใจและหลอดเลือด

    โรคมะเร็ง
    ความสนใจที่จะใช้แอสไพรินป้องกันโรคมะเร็งเริ่มจริงจังขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา "มีการทดลองที่บ่งชี้ว่า ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ซึ่งรวมถึงแอสไพรินป้องกันการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดรวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลอดอาหาร และกระเพาะอาหารด้วย" นายแพทย์ไมเคิล ทัน รองประธานด้วยวิจัยการระบาดและเฝ้าระวังของสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐฯ กล่าว

    ที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีการศึกษาสุขภาพของพยาบาลในระยะยาว พบว่า อุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักลดลงถึงร้อยละ 30 ในผู้ที่ใช้แอสไพรินสม่ำเสมอเป็นเวลาสิบถึง 19 ปีและลดลงร้อยละ 44 ในผู้ที่ใช้ยานี้สม่ำเสมอนานกว่า 20 ปี

    ภาวะหัวใจพิบัติหรือขาดเลือด
    คนจำนวนมากรู้ว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯหรือเอฟดีเอแนะให้ใช้แอสไพรินป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ที่เป็นโรคหัวใจ แต่น้อยคนจะรู้ว่ายานี้สามารถช่วยได้เมื่อเริ่มมีอาการ ในปี 2541 เอฟดีเอแนะให้ผู้ที่เริ่มมีอาการหัวใจขาดเลือดกินแอสไพรินทันที จากการศึกษาผู้ป่วยทั่วโลกจำนวน 17,187 ราย ซึ่งควบคุมโดยหมอเฮนเนเกนส์พบว่า การกินแอสไพรินภายใน 24 ชั่วโมงเมื่อมีอาการหัวใจขาดเลือดจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ร้อยละ 23

    หมอจูเดลสันเป็นคนแรกที่พบประโยชน์ของยานี้ ขณะอยู่บนเครื่องบิน ผู้โดยสารคนหนึ่งเกิดอาการหน้าซีด เจ็บหน้าอก และหายใจไม่ออก หมอจึงให้แอสไพรินสองเม็ดทันที ครู่ต่อมาผู้ป่วยก็หายปวด พร้อมทั้งหายใจดีขึ้นและหน้าหายซีด

    เมื่อส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล แพทย์พบว่าเส้นเลือดหัวใจเส้นหนึ่งอุดตันถึงร้อยละ 95 หมอจูเดลสันกล่าวว่า "แพทย์แก้ไขการอุดตันของเส้นเลือดและให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้หลังจากนั้นสองวัน" แอสไพรินทำให้ลิ่มเลือดที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือดสลายตัว

    หมอจูเดลสันแนะว่า "ถ้าคุณคิดว่ากำลังมีอาการหัวใจขาดเลือด ให้เคี้ยวแอสไพรินสักสองเม็ด การเคี้ยวจะทำให้ยาดูดซึมได้เร็วกว่าการกลืน ในภาวะหัวใจขาดเลือดเวลาแต่ละนาทีมีความสำคัญต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ยิ่งรอนาน กล้ามเนื้อจะยิ่งถูกทำลายมากขึ้น"

    อาการหูหนวกที่เกิดจากยาปฏิชีวนะ

    มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าอาการหูหนวกซึ่งเกิดจากยาปฎิชีวนะที่ใช้บ่อย ได้แก่ อะมิโนกลัยโคไซด์ (Aminoglycosides) สามารถป้องกันได้โดยการให้แอสไพรินร่วมด้วย "ยาปฏิชีวนะนี้เป็นที่นิยมทั่วโลก เราประเมินว่าร้อยละสิบของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลได้รับยาอะมิโนกลัยโคไซด์" โจเคน ชาร์ต ศาสตราจารย์ชีวเคมีแห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน อธิบาย

    ขณะเดียวกัน หมอชาร์ตกล่าวว่า "องค์การอนามัยโลก จัดให้ยานี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหูหนวกชนิดที่ป้องกันได้" ยานี้สามารถรวมตัวกับธาตุเหล็กในร่างกายเป็นอนุมูลอิสระซึ่งเป็นโมเลกุลที่สามารถทำลายเซลล์ รวมทั้งเซลล์ขนจำนวนหลายพันที่อยู่ในหู เมื่อเซลล์ขนถูกทำลาย หูชั้นในจะไม่สามารถรับคลื่นเสียง ทำให้เกิดหูหนวกถาวร การศึกษาขั้นต้นในสัตว์ทดลองพบว่าตัวยาซาลิซิลเลทซึ่งเกิดจากการสลายตัวของแอสไพรินในร่างกายสามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่ทำให้อาการหูหนวกจากยาปฏิชีวนะ
    ก่อนใช้ยาแอสไพรินเป็นประจำทุกวันควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว แม้แพทย์จะเห็นประโยชน์ของการใช้แอสไพริน แต่จะเตือนว่าการใช้แอสไพรินในบางคนอาจมีความเสี่ยงเนื่องจากทำให้เลือดใส ขัดขวางการเกิดลิ่มเลือด มีผลทำให้เลือดออกมากขึ้น ดังนั้น การใช้แอสไพรินเป็นประจำอาจไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคระบบย่อยอาหารเลือดออกในกระเพาะ ลำไส้ หรือมีปัญหาเลือดออกอย่างอื่น ผู้เตรียมตัวผ่าตัดแม้เป็นการผ่าเล็กน้อย หากใช้แอสไพรินอยู่ก็ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ และไม่แนะนำให้ใช้แอสไพรินในเด็กและวัยรุ่น เพราะอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการรายส์ (Reye's) ซึ่งเป็นโรคในเด็กที่พบไม่บ่อยแต่เป็นอันตราย

    อย่างไรก็ดี แอสไพรินอาจเป็นยาป้องกันโรคร้ายสำหรับคนส่วนใหญ่อย่างที่หมอเฮนเนเกนส์เรียกว่า "ยาวิเศษแห่งศตวรรษที่ 21"

    คืนนี้หลับให้สบาย

    คืนนี้
    หลับให้สบาย
    เคล็ดลับง่ายๆที่จะช่วยให้การนอนหลับ
    ไม่เป็นเรื่องฝันร้ายอีกต่อไป

    ทัศนียา วัย 35 ยังจำได้ว่าตอนกลางคืนทรมานเพียงไร เธอทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ และมีปัญหานอนไม่หลับมาร่วมสิบปีแล้วทั้งที่เข้านอนด้วยความเหนื่อยล้าทุกคืนแต่ก็ข่มตาให้หลับไม่ลง ทัศนียานอนกระสับกระส่ายอยู่หลายชั่วโมง ในใจครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่า "เราต้องหลับให้ได้ พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำอีกมาก"
     

    เธอนอนตาสว่างจนล่วงเข้าวันใหม่อย่างน้อยสัปดาห์ละสามวันและลุกจากเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน นอกจากนี้ สามีและลูกสองคนยังสังเกตว่าทัศนียาหงุดหงิดและอารมณ์เสียง่าย ทั้งไม่มีสมาธิในเวลาทำงานเธอเบื่ออาหารและน้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม

    เมื่ออาการหนักขึ้นและเริ่มมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย ทัศนียาเริ่มใช้ยานอนหลับ ระยะแรกก็ช่วยให้หลับสบาย แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมาก็เริ่มไม่ค่อยได้ผลนัก ในที่สุดทัศนียาก็มีอาการดื้อยา ต้องเพิ่มปริมาณยาและพึ่งยานอนหลับอย่างขาดไม่ได้

    ความผิดปกติที่พบได้บ่อย
    "จากการศึกษาปัญหาในการนอนหลับและปัจจัยที่เกี่ยวข้องของชุมชนหนึ่งในกรุงเทพฯ พบว่า ประชากรประมาณหนึ่งในสามคนมีแนวโน้มจะมีปัญหาในการนอนหลับ ซึ่งส่งผลเกี่ยวเนื่องไปถึงอาการนอนไม่หลับ" นายแพทย์จักรกฤษณ์ สุขยิ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชโรงพยาบาลรามาธิบดีและผู้เชี่ยวชาญปัญหาในการนอนหลับ กล่าว ในทางการแพทย์อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) ที่ไม่ควรนิ่งนอนใจก็คือ เมื่อนอนไม่หลับต่อเนื่องเกือบทุกวันในหนึ่งสัปดาห์ โดยมีอาการนี้ติดต่อกันสองถึงสามสัปดาห์ขึ้นไป

    การนอนไม่หลับเป็นเวลานานเป็นปีๆมีผลเสียตามมามากมาย ทั้งต่อบุคคลผู้นอนไม่หลับเองและต่อสังคมโดยรวม ผู้ที่นอนไม่หลับมักมีอาการอ่อนเพลียและวิตกกังวลซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ นอกจากนี้ การอดนอนสะสมยังบั่นทอนประสิทธิภาพในการทำงานด้วย

    อุบัติเหตุร้างแรงบนท้องถนนหลายๆกรณีมีสาเหตุมาจากคนขับหลับในและไม่สามารถตั้งสมาธิขณะขับรถโดยเฉพาะระหว่างเวลา 3.00 ถึง 5.00 น. และเวลา 14.00 น. ซึ่งระบบการทำงานในร่างกายเชื่องช้าและส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน "ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่การนอนไม่หลับเป็นสาเหตุใหญ่ของอุบัติเหตุทั้งบนท้องถนนและระหว่างการทำงานกับเครื่องจักร ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาลจนหลายคนคาดไม่ถึง"

    ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่คนไม่ไปปรึกษาแพทย์ เมื่อมีอาการนอนไม่หลับหลายคนหันไปพึ่งยานอนหลับ "คนจำนวนไม่น้อยพึ่งยานอนหลับโดยไม่ปรึกษาแพทย์และต้องเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆจนขาดไม่ได้และถึงขั้นติดยาในเวลาอันรวดเร็ว" หมอจักรกฤษณ์ กล่าว


    ควรนอนกี่ชั่วโมง
    สิ่งสำคัญไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่นอน แต่เป็นขั้นตอนในการนอน แต่ละคืน คนเราผ่านการนอนเป็นชั่วโมง ช่วงละประมาณ 90 นาที แต่ละช่วงแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน คือ หลับตื้น หลับลึก และหลับฝัน ในช่วงหลับลึกร่างกายจะผ่อนคลายและพักผ่อน ในช่วงหลับฝัน จิตจะพักผ่อน ช่วงหลับตื้นเปรียบเหมือนสะพานระหว่างการหลับลึกและหลับฝัน


    โดยปกติ ผู้ใหญ่นอนคืนละประมาณเจ็ดชั่วโมง บางคนต้องการนอนมากถึงเก้าชั่วโมง แต่ก็มีคนที่นอนเพียงห้าชั่วโมงก็พอ เนื่องจากแต่ละคนมีวงจรการนอน ไม่เหมือนกัน ในช่วงแรก การหลับลึกอาจนานถึง 20 นาที แต่ในช่วงต่อๆมา ระยะหลับลึกจะสั้นลงในขณะที่ระยะหลับตื้นและหลับฝันจะยาวขึ้น

    หลายคนนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถตื่นขึ้นมาประกอบภารกิจด้วยความกระปรี้กระเปร่า เช่น จักรพรรดินโปเลียนซึ่งนอนแทบไม่ถึงสี่ชั่วโมง คนกลุ่มนี้นอนหลับโดยไม่มีการหลับตี้น แต่ข้ามไปหลับลึกและหลับฝันเลย

    นอกจากบุคคลประเภท "นกฮูก" ที่เริ่มง่วงนอนหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ยังมีอีกประเภทที่ชอบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ "ทุกคนต้องสังเกตและค้นหาเวลาเข้านอนที่ทำให้ตัวเองตื่นเช้าด้วยความกระฉับกระเฉง มีพลังทำงานได้ตลอดทั้งวัน" แพทย์จักรกฤษณ์กล่าว

    อย่าใช้ยาดีกว่า

    ไม่ควรใช้ยานอนหลับนอกจากกรณีจำเป็นและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจติดยาได้หลังกินติดต่อกันสี่สัปดาห์ "ยานอนหลับสามารถใช้ได้เวลาเครียดมาก เช่น กำลังสอบไล่ ต้องไปสัมภาษณ์เข้าทำงาน หรืออยู่ในช่วงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ แต่จริงๆแล้วไม่ควรใช้ยาเอง ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน" นายแพทย์ชูทิตย์ ปานปรีชา อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิตและผู้เชี่ยวชาญปัญหาในการนอนหลับ กล่าว "และห้ามเพิ่มขนาดยาเอง อีกทั้งไม่ควรดื่มเหล้าหรือใช้สารเสพย์ติดร่วมกับการใช้ยานอนหลับ" นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์เมื่อต้องใช้ยานอนหลับติดต่อกันหลายๆสัปดาห์

    เคล็ดลับในการนอนหลับ เจ็ดประการ
    1.กินอาหารที่มีประโยชน์และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
    ไวน์หนึ่งแก้วอาจทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าดื่มเหล้ามากเกินไปโดยเฉพาะในช่วงดึกๆหลังเที่ยงคืนไปแล้วจะทำให้นอนหลับไม่สนิท สารนิโคตินในบุหรี่ทำให้ประสิทธิภาพในการนอนลดลง หลายคนตาแข็งเพราะกินกาเฟอิน การกินอาหารเย็นมากเกินไป จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้นและร่างกายไม่สามารถผ่อนคลายได้ "ผู้ที่มีปัญหาในการนอนหลับไม่ควรดื่มกาแฟและเหล้า โดยเฉพาะในช่วงบ่ายแก่ๆหรือตอนค่ำ และควรเลิกสูบบุหรี่ นอกจากนี้อาหารเย็นควรเป็นประเภทย่อยง่าย เช่น ปลาหรือเนี้อที่ปรุงให้ย่อยง่าย" นิภาภรณ์ บุณยประวิตร นักวิชาการสาขาสังคมสงเคราะห์ประจำกรมสุขภาพจิต แนะนำ

    2.ปรับปรุงสภาพห้องนอน
    เลือกห้องเงียบที่สุดในบ้านและอากาศถ่ายเทได้สะดวก
    เปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเข้านอน หรือ แง้มหน้าต่างเล็กน้อยขณะนอน
    อุณหภูมิห้องที่เหมาะสมสำหรับอากาศเมืองไทยคือประมาณ 25 องศาเซลเซียส อาจสูงหรือต่ำกว่านี้เล็กน้อย แล้วแต่ความชอบของบุคคล
    พยายามให้ห้องนอนมืดที่สุด
    เลือกที่นอนให้เหมาะสม คือ ไม่นิ่มหรือแข็งเกินไป


    3.ออกกำลังกายมากขึ้น
    การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น วิ่งเหยาะๆ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือเต้นแอโรบิก ช่วยให้นอนหลับได้มากขึ้นและเพิ่มระยะการหลับลึก แต่ไม่ควรออกกำลังกายใกล้เวลานอน เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายและระบบโลหิตไหลเวียนมากกว่าปกติ ทั้งนี้ยกเว้นกิจกรรมทางเพศ

    4.ผ่อนคลายและพักผ่อน
    ผู้ที่มีความกังวลใจอย่างเช่น ในเรื่องงานหรือเรื่องเงิน มักจะนอนไม่หลับ "ทันทีที่ล้มตัวลงนอน หัวสมองก็เริ่มคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ" หมอเกษียรสม กล่าว "ระหว่างนั้นร่างกายจะไม่ยอมผ่อนคลายออกมา เช่นอะดรีนาลีน ความดันเลือดก็สูงขึ้น หัวใจเต้นแรงและระบบเผาผลาญพลังงาน ทำงานไม่หยุด"

    สร้าง "จุดพัก" ระหว่างกิจกรรมตอนกลางวันกับการนอนหลับด้วยวิธีต่อไปนี้ เช่น อ่านหนังสือดีๆสักเล่ม ฟังเพลงเบาๆ หรือออกไปเดินเล่นตอนเย็น เป็นต้น

    ถ้ารู้สึกว่าสมองยังไม่ยอมผ่อนคลาย ให้เขียนความกังวลใจออกมาเป็นตัวหนังสือในตอนค่ำ

    ไม่ควรคิดฟุ้งซ่าน การทำจิตใจให้สงบด้วยวิธีต่างๆช่วยได้มาก เช่น ทำสมาธิ หรือใช้เสียงเพลงเป็นส่วนประกอบ

    5.เข้านอนให้ตรงเวลา
    เราไม่สามารถนอนชดเชยได้ การนอนตื่นสายในวันสุดสัปดาห์ไม่ได้ชดเชยการนอนไม่เต็มตาในช่วงจันทร์ถึงศุกร์

     เข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาทุกวัน (รวมทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ด้วย) เพื่อฝึกให้นาฬิกาภายในตัวเราทำงานเป็นเวลา

    ถ้ามีปัญหาในการนอนหลับ อย่างีบหลับตอนกลางวัน เพราะการงีบเพียงช่วงสั้นๆก็ทำให้การนอนหลับตอนกลางคืนเรรวนได้

    6.สร้างสุขนิสัยที่ดีก่อนการนอน
    การอาบน้ำอุ่นก่อนนอน (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) ทำให้หลับสบายยิ่งขึ้น หยดน้ำมันหอมในน้ำที่แช่ตัว อย่างเช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ กระดังงาไทย และคาโมไมล์ จะช่วยให้ยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย

    อาหารว่างก่อนนอน เช่น ช็อกโกแลตสักชิ้น กล้วยหนึ่งลูก หรือนมอุ่นๆผสมน้ำผึ้งซึ่งมีสารโปรตีนแอล-ทริปโตฟาน ทำให้สมองผ่อนคลายและช่วยให้การหลับดีขึ้น

    7.ถ้าหลับไม่ลง ก็ลุกขึ้นมาเถอะ
    เมื่อคุณทัศนียาหลับไม่ตลอดถึงเช้ามาหลายเดือน เธอมักจะหลับยากและหลับๆตื่นๆตลอดคืน จึงไปปรึกษาจิตแพทย์ในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้าน หมอแนะนำให้ตื่นขึ้นมาทำงานเบาๆจนกระทั้งรู้สึกง่วงอีกครั้ง "ดิฉันจึงเลือกทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆพอให้เพลิดเพลินแทนที่จะนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ" ทัศนียาบอก พอจิตใจเลิกจดจ่อกับการนอนหลับ เธอก็รู้สึกง่วงและกลับไปนอนต่อได้

    อย่านอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง ควรลุกขึ้นแล้วออกจากห้องนอน เข้าไปฟังเพลงเบาๆในห้องอื่น เป็นต้น

    อย่าใจจดจ่อกับการนอนของตนเองมากนัก ถ้าเป็นไปได้อย่าดูนาฬิกาตอนกลางคืนความคิดที่ว่า "ฉันต้องหลับให้ได้ตอนนี้ เพราะอีกสองชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว" ทำให้เกิดความเครียดและนอนไม่หลับ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในตำแหน่งที่เสียงติ๊กๆหรือตัวเลขเรืองแสงไม่รบกวนคุณ

    ถ้าต้องตื่นขึ้นมาทำธุระกลางดึก อย่าเปิดไฟสว่างจ้า เพราะจะทำให้นาฬิกาในตัวเราสับสนจนตาสว่าง


    เคล็ดลับเหล่านี้ช่วยได้ในหลายกรณี อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องอาศัยเวลา ถ้าคุณนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ อย่ากินยาเอง ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์

    แม้ผู้ที่เคยติดยานอนหลับก็สามารถนอนหลับได้โดยไม่ต้องพึ่งยาอย่างทัศนียา หลังนอนไม่หลับมานานหลายปีเธอตัดสินใจไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลจิตแพทย์ให้คำปรึกษาและแนะนำให้เธอปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตบางอย่าง รวมทั้งให้การรักษาโรคซึมเศร้าของเธอ เช่น เลิกนอนหลับตอนกลางวัน หลังพบแพทย์ไม่ถึงสามเดือนอาการก็ดีขึ้นจนไม่ต้องพึ่งยาอีก "ฉันไม่กลัวห้องนอนและเวลาต้องเข้านอนอีกต่อไปแล้ว" ทัศนียากล่าว


    ตรวจสภาพการนอนหลับ
    วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้แพทย์ทราบข้อมูลต่างๆที่จำเป็นต่อการวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวกับการนอนหลับหรืออาการง่วงผิดปกติในช่วงกลางวันก็คือ การตรวจสภาพการนอนหลับในห้องปฏิบัติการการนอนหลับ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงความผิดปกติที่เกิดร่วมกับการหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการจะติดเครื่องมือเฝ้าสังเกตการหายใจ การทำงานของหัวใจและคลื่นสมอง ตลอดจนการเคลื่อนไหวของลูกตา เพื่อประกอบการวินิจฉัยและรักษาต่อไป โดยค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 8,000 ถึง 10,000 บาทต่อครั้งหรือหนึ่งคืน

    ห้องปฏิบัติการการนอนหลับยังเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทยและมีให้บริการในโรงพยาบาลของรัฐบางแห่งเท่านั้น เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา และโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น และโรงพยาบาลเอกชน เช่น โรงพยาบาลเทพธารินทร์ โรงพยาบาลพร้อมมิตร และโรงพยาบาลวิชัยยุทธ เป็นต้น

    เพิ่มพลังวิถีธรรมชาติ

    เพิ่มพลัง
    วิถีธรรมชาติ
    ลองแปดวิธีง่ายๆในการสร้างเสริมกำลังวังชา
    อถึงเย็นวันศุกร์ เพื่อนในสำนักงานมักถามกันให้แซดว่าค่ำนี้จะไปไหน แต่ดิฉันเลือกกลับบ้านเพื่อจะได้นอนเอกเขนกให้สบายใจ

    ดิฉันนอนวันละแปดชั่วโมง กินอาหารครบห้าหมู่และออกกำลังสม่ำเสมอ แถมยังมีเพื่อนดี งานดี และครอบครัวดี ซึ่งล้วนแต่เติมพลังให้ชีวิต แต่ก็ยังรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง แค่จะอยู่ดูข่าวตอนสี่ทุ่มยังไม่ไหว เวลาตื่นตอนเช้าก็รู้สึกอ่อนเพลียหมดแรง เลยเชื่อว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่

    เมื่อไปตรวจร่างกายก็ไม่พบอะไรผิดปกติร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นต่อมไทรอยด์หรืออาการอ่อนเพลีย หมอสรุปว่าเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งมีผลให้ไม่มีจิตใจจะทำอะไร

    ดิฉันจึงเริ่มมองหาวิธีช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยาหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตมากนัก ในที่สุดก็ค้นพบเทคนิคแปดประการซึ่งใช้เวลาไม่มากและไม่ต้องฝึกฝน หากคุณมีสุขภาพดีแต่รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ลองใช้วิธีกระตุ้นกำลังวังชาดังต่อไปนี้

    1.หายใจลึกๆ การหายใจลึกทำให้หัวใจเต้นช้าลง ช่วยลดความตึงเครียดของระบบประสาท ความดันเลือด และปริมาณฮอร์โมนที่กระตุ้นความเครียด ฝึกหายใจลึกๆราว 10-15 นาทีทุกวันและทุกครั้งที่รู้สึกเครียด ปล่อยให้อากาศเข้าสู่ช่องอกและช่องท้องเต็มที่ก่อนหายใจออกอย่างช้าๆ


    2.ทำสมาธิ คนทั่วไปนิยมทำสมาธิเพื่อเป็นการผ่อนคลาย ซึ่งช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ด้วย วิธีก็คือหาที่เงียบๆ นั่งให้สบาย ปล่อยจิตใจให้ผ่อนคลาย หลับตา และนึกถึงคำธรรมดาๆสักคำเช่นคำว่า หนึ่ง หากความคิดอื่นแทรกเข้ามาก็ให้กลับไปคิดถึงคำเดิมตลอด

    3.ยืดเส้นช้าๆ การออกกำลังกายโดยยืดเส้นให้ผลเช่นเดียวกับการหายใจลึก เพราะลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดจากสารที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายเพื่อนำออกซิเจนไปสู่สมองได้ดีขึ้น

    เริ่มวันใหม่ด้วยการยืดเส้นเบาๆ การยืดหลังจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกาย วิธีดีที่สุดอย่างหนึ่งคือท่าโก่งหลังแบบแมว โดยใช้มือและเข่าแตะพื้น แล้วโก่งหลังขึ้นช้าๆ นิ่งไว้ประมาณ 10 วินาที จึงค่อยๆผ่อนคลาย หรือยืนตรงโดยแยกเท้าห่างไม่เกินความกว้างของสะโพก เอนตัวไปข้างหน้าช้าๆ ย่อเข่าและวางมือที่กลางต้นขาแล้วโก่งหลัง นิ่งไว้ 10 วินาทีจึงผ่อนคลายจากนั้นทำซ้ำอีกครั้ง

    4.ทำตามนาฬิกาของร่างกาย บางคนรู้สึกแข็งขันที่สุดในตอนเช้า แต่บางคนรู้สึกมีพลังในตอนกลางคืน ชาลส์ คันต์เซิลแมน ผู้เขียนเรื่อง Maximizing your Energy & Personal Productivity หรือ ใช้พลังงานและการสร้างเสริมในตัวคุณให้เต็มที่ กล่าวว่า "คุณคงไม่ใช่คนมีพลังในตอนเช้าถ้าต้องดื่มกาแฟ 3-4 ถ้วยหลังตื่นนอนเพื่อให้มีแรงทำงาน"

    สังเกตุดูว่าตัวคุณมีพลังมากที่สุดในเวลาใด แล้วเก็บงานสำคัญไว้ทำตอนนั้น ถ้าคุณเป็นคนสมองแล่นในช่วงเช้า ควรจัดการสอบสัมภาษณ์ไว้ในตารางการทำงานช่วงเช้าแทนที่จะเป็นตอนบ่ายเมื่อพลังเริ่มถดถอย

    5.ลองกินให้น้อยลงแต่บ่อยขึ้น ขณะกินอาหาร กระแสเลือดจะไปคั่งอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลงจึงรู้สึกซึมเซา ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าการกินอาหารน้อยๆ วันละ 5-6 มื้อ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้สม่ำเสมอตลอดวัน

    เพื่อเสริมสร้างพลัง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น ไขมันสัตว์และไอศครีม ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้สมองได้รับเลือดน้อยเป็นเวลานานขึ้น ควรกินอาหารที่มีกรดไขมันที่จำเป็น เช่น ปลาและถั่ว ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารอาหารที่มีคุณค่า
    6.รับแสงแดดมากขึ้น แสงแดดทำให้ร่างกายหยุดผลิตสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยปรับนาฬิกาของร่างกาย บางคนอาจเกิดอาการผิดปกติหากไม่ได้รับแสงสว่างเพียงพอในตอนเช้า โดยจะรู้สึกซึมเศร้า ซึ่งทำให้อ่อนเพลียได้

    7.ยืนตัวตรง โจเซฟ สเวียร์ ผู้อำนวยการอาชีวเวชาสตร์แห่งวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น ไคโรแพรกทิก รัฐมินนิโซตา บอกว่า เมื่อเรายืนหลังโก่ง ทำให้น้ำหนักจะไม่ตกกลางลำตัว ร่างกายจึงต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการทรงตัวให้สมดุล เขากล่าวว่า "ของหนักสุดที่เราแบกอยู่ตลอดเวลาก็คือร่างกายของเราเอง หากร่างกายรองรับน้ำหนักอย่างสมดุล เราจะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยลง"

    วิธีง่ายๆที่จะทำให้เกิดสมดุลคือ ยืดศีรษะให้อยู่ในแนวเดียวกับกระดูกเชิงกราน ให้หูอยู่แนวเดียวกับไหล่ และแอ่นหลังเล็กน้อย หากนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ สายตาควรอยู่ระดับตรงกลางจอ ผู้หญิงไม่ควรใส่รองเท้าส้นสูงและอย่าสะพายกระเป๋าหนักๆเพราะทำให้น้ำหนักไม่ตกกลางลำตัว

    8.สำรวจนิสัยการนอนของตัวเอง เวลานอนเท่าไรจึงจะเพียงพอนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน นายแพทย์มาร์ก มาโฮวาล์ด ผู้อำนวยการศูนย์การนอนหลังผิดปกติในรัฐมินนิโซตา แนะมาตรวัดการนอนดังนี้ ถ้านั่งหลับโดยไม่ตั้งใจ หรือ ตื่นสายมากในวันหยุด มีความเป็นไปได้ว่าคุณนอนไม่พอ ลองนอนเพิ่มคืนละชั่วโมงสัก 2-3 สัปดาห์ แล้วดูว่าคุณรู้สึกอย่างไร


    ดิฉันพบว่าการนอนวันละ 8 ชั่วโมงไม่พอ หากได้นอนเพิ่มอีกสัก 45 นาที สมองก็จะโปร่งตลอดวัน จึงลองเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆด้วย เช่น ดื่มน้ำแทนกาแฟ เปลี่ยนกระเป๋าสะพายที่หนักจนไหล่เอียง มาเป็นกระเป๋าถือใบเล็กๆ และออกไปเดินเร็วๆนอกที่ทำงานบ่อยขึ้นเพื่อรับแสงแดดและทำให้จิตใจสดชื่น นอกจากนี้ยังทำสมาธิและทำตามนาฬิกาของร่างกาย เมื่อทำเช่นนี้ก็มีแรงพอจะไปเที่ยวกับเพื่อนได้ในค่ำวันศุกร์

    หลุมพรางที่ 5 : ไม่มีเวลา

    ไม่มีเวลา
    มื่องานเลี้ยงฉลองมากมาย เช่น วันครบรอบแต่งงาน สังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือเลี้ยงเมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง ก็มีแนวโน้มว่าคุณจะเลือกใส่เสื้อผ้าหลวมสบายๆ ส่วนเรื่องออกกำลังกายนั้นไม่ต้องพูดถึง จะเอาเวลาที่ไหนในเมื่อมีทั้งงานและครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ

     

     ริปกล่าวว่า ปัญหาคือ "ถ้ากินอาหารที่ให้พลังงานเท่าเดิมแต่ไม่ได้ออกกำลัง น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้น การเผาผลาญพลังงานเพียงเล็กน้อยวันละ 100 แคลอรีจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นปีละเกือบห้ากิโลกรัม"



     


    เอลินา ดอร์ฟแมน ช่างภาพชาวซานฟรานซิสโกวัย 34 มีงานเต็มตัวแต่ก็แบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกายเสมอ แทนที่จะนัดเพื่อนไปกินอาหาร เธอกลับนัดไปเดินหรือปั่นจักรยานแทน ซึ่งถือเป็นการพบปะสังสรรค์ไปด้วย ดอร์ฟแมนกล่าวว่า "เมื่อมีเวลาน้อย การทำทั้งสองอย่างพร้อมๆกันในแต่ละวันจึงเป็นวิธีที่ดี"

    หลุมพรางที่ 4 : รู้สึกอยากกิน

    รู้สึกอยากกิน
    ดบรา วอเทอร์เฮาส์ นักโภชนาการชาวแคลิฟอร์เนีย แนะให้กินเมื่ออยาก แต่ต้องคอยคุมไม่ให้มากเกินไปซึ่งดีกว่าการปล่อยให้หิวเพราะเสี่ยงต่อการกินที่มากขึ้น "กินช็อกโกแลตเล็กน้อยหรือถั่วสักกำโดยไม่ต้องรู้สึกผิด ทำตัวตามสบาย" เธอยังแนะนำให้กินอาหารในปริมาณน้อยวันละห้าถึงหกมื้อ แทนการกินมื้อใหญ่ๆ สองถึงสามมื้อ เพื่อให้มีพลังงานสม่ำเสมอ แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังไม่แน่ใจว่าวิธีนี้ดีกว่าจริงหรือไม่

    หลุมพรางที่ 3 : น้ำหนักตัวหลังคลอด


    น้ำหนักตัวหลังคลอด
    ารมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์แสดงว่ามีสุขภาพดี แต่ควรป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากเกินไป ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้ควบคุมอาหาร แต่หญิงมีครรภ์ส่วนใหญ่ควรได้รับพลังงานจากอาหารเพิ่มขึ้นวันละ 300 แคลอรี หลังตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ระหว่างการตั้งครรภ์ 19 สัปดาห์ ผู้หญิงไม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มเกิน 3-5 กิโลกรัม จากนั้นโดยทั่วไป หมอมักแนะว่าควรมีน้ำหนักเพิ่มไม่เกินสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ลองปรึกษาสูติแพทย์เรื่องน้ำหนักดู
    หลังคลอดบุตร ผู้หญิงส่วนใหญ่พบว่าลดน้ำหนักได้ยาก การออกกำลังกายเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้ และยังช่วยให้ต่อสู้กับความเหนื่อยล้า (ซึ่งมักทำให้ต้องพึ่งอาหารสำเร็จรูปมากเกินไป) และอารมณ์จะขึ้นๆลงๆ 
    ฟอเร็ตกล่าวว่า "ถ้าออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด โอกาสที่การเผาผลาญจะอยู่ในระดับสูงและสมดุลกับการกินก็มีมากขึ้น"
     สเตซี โรเบิร์ต คุณแม่ ลูกสอง วัย 34 จากรัฐฟลอริดา เข้าคอร์สบริหารร่างกายสัปดาห์ละหลายครั้งจนลดน้ำหนักได้เกือบ 14 กิโลกรัมหลังคลอดลูกคนที่สอง เธอกล่าววว่า "ฉันเลือกออกกำลังเพื่อจะได้กินตามใจชอบได้" โรเบิร์ตพยายามไม่ชั่งน้ำหนักขณะที่ร่างกายค่อยๆผอมลง "ฉันใช้วิธีวัดตัวแทน เป็นการช่วยให้มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น" 

    อ่านต่อ "หลุมพรางที่ 4 : รู้สึกอยากกิน"

    หลุมพรางที่ 2 : เลิกยกน้ำหนัก

    เลิกยกน้ำหนัก
    ากมีเวลาเพียงวันละ 20 นาที คุณอาจเลือกวิธีเดินเร็ว วิ่งบนสายพาน บริหารด้วยการนอนแล้วยกขา หรือยกดัมเบล เวย์น เวสต์คอด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการออกกำลังกายวายเอ็มซีเอ รัฐแมสซาซูเซตส์กล่าวว่า คนส่วนใหญ่เลือกออกกำลังแบบแอโรบิกมากกว่าการยกน้ำหนัก "เพราะเป็นวิธีที่เผาผลาญแคลอรีได้มากที่สุด"

    ซึ่งเป็นความจริงในขณะออกกำลังอยู่ "แต่การทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงด้วยการยกน้ำหนัก ช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญแคลอรี่ได้ทุกวันแม้ขณะหยุดพัก"

    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะกล้ามเนื้อครึ่งกิโลกรัมใช้พลังงาน 35 ถึง 50 แคลอรี่ต่อวัน ขณะที่ไขมันครึ่งกิโลกรัมเผาผลาญพลังงานเพียง 2 แคลอรี่ หากไม่เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ท้ายที่สุดเนื้อตัวจะไม่กระชับ แถมน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ด้วยการยกน้ำหนักวันละ 20 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน เป็นการเผาผลาญที่มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โรเบอร์ตา โคลบี พยาบาล วัย 34 จากรัฐแมสซาซูเซตส์  เริ่มออกกำลังด้วยการบริหารร่างกาย แต่ละครั้งเธอจะใช้เวลา 20 นาที โดยยกขา ยึดพื้น ดึงข้อ และทำสก็อตจัมป์ โคลบี สามารถรักษาน้ำหนักได้เท่ากับเมื่อ ครั้งอายุ 20 กว่า และไขมันในร่างกายก็มีค่าต่ำอย่างน่าอิจฉา คือร้อยละ 18 (ค่าเฉลี่ยสำหรับผู้หญิงวัยนี้เท่ากับประมาณร้อยละ 30) 

    เธอกล่าวว่า "การบริหารร่างกายทำให้ฉันสามารถทำตัวตามสบาย ไม่ต้องงดอาหาร หน้าท้องแบนราบ เอวเล็กลง แขน ไหล่ และขากระชับขึ้น"


    อ่านต่อ "หลุมพรางที่ 3 : น้ำหนักตัวหลังคลอด"

    หลุมพรางที่ 1 : กินเท่าผู้ชาย

     เอาชนะปีแห่งความอ้วน  
    ต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการรักษารูปร่างให้ดี
    เมื่ออายุเกิน 35 ขึ้นไป

    เมื่ออายุเกิน 35 ขึ้นไปก็อาจจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จนบางคนมีมากเกินไปกลายเป็นคนอ้วน จนวันหนึ่งส่องกระจก คุณอาจตกใจว่าทำไมหุ่นเจ้าเนื้ออย่างนี้ แต่แทนที่จะโทษการปฏิบัติตนไม่ถูกต้องหรือเจริญอาหารเกินไป คุณกลับอ้างว่าสะโพกหนาขึ้นเพราะอายุเริ่มมากและการเผาผลาญลดลงหลังวัย 30 ซึ่งความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยผู้หญิงมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งกิโลกรัมต่อปีในช่วงอายุ 30 ถึง 40 ปี แต่ไม่ได้เกิดจากการเผาผลาญลดลงซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเผาผลาญอาจลดลงก็จริง แต่โดยทั่วไปมักเป็นผลจากการดำเนินชีวิตที่ไม่มีการออกกำลังกายและการสูญเสียกล้ามเนื้อ

    นายแพทย์เจมส์ ริป ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคและการดำเนินชีวิต รัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวว่า "อายุ 30 ขึ้นไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้อ้วนเร็ว แต่มีสาเหตุหลายอย่างประกอบกันที่ทำให้ผู้หญิงวัยนี้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น"

    โอกาสลดน้ำหนักนั้นเป็นไปได้ หัวข้อต่อไปนี้จะทำให้คุณรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรและหลีกเลี่ยงอะไรบ้างเพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางที่พบอยู่เป็นประจำ

    หลุมพรางที่ 1 : กินเท่าผู้ชาย
    เมื่อแต่งงาน มีแนวโน้มว่าคุณจะกินอาหารแบบเดียวกันและปริมาณเท่ากับสามี จอห์น ฟอเร็ต ผู้อำนวยการคลินิกโภชนวิจัย วิทยาลัยแพทย์เบร์เลอร์ในเมืองฮุสตันกล่าวว่า "ผู้ชายกินมากกว่าเพราะตัวใหญ่กว่า เมื่อผู้หญิงกินข้าวพร้อมกับผู้ชาย เธอก็จะกินมากตามไปด้วย"

    เป็นไปได้ที่จะฝึกนิสัยไม่ให้กินมากเกินไป แต่ต้องใช้ความพยายาม ข้อหนึ่งคือพยายามอย่ากินเท่ากับสามี ถ้าออกไปกินอาหารนอกบ้าน ให้กินสลัดและอาหารเบาแทนอาหารหนัก หากเป็นที่บ้าน ควรตักอาหารใส่จานให้น้อยกว่าของสามี และเมื่อเขาขอเติมอีกก็ไม่ควรเติมตาม
    หลังแต่งงานสองปี หญิงวัย 36 ผู้หนึ่งน้ำหนักตัวลดลงเกือบ 4 กิโลกรัมทั้งที่กินมากกว่าปกติ เธอกล่าวว่า "ตอนเป็นโสด ฉันจะงดอาหารเย็นโดยกินแค่ข้าวโพดคั่ว ตอนนี้ฉันกับสามีกินอาหารเย็นด้วยกันทุกมื้อ เวลาสามีทำกับข้าว ฉันต้องคอยระวังไม่ตักมาก เพราะเขามักจะทำอาหารหนักและใส่มันฝรั่งเยอะ ถ้าฉันเป็นคนทำ ก็มักทำสลัดที่มีผักสดมากๆ"

    อ่านต่อ "หลุมพรางที่ 2 : เลิกยกน้ำหนัก"

    วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 4 ผู้ช่วยชีวิต (จบ)

     
    วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 4
    ผู้ช่วยชีวิต (จบ)
    วิลเลียม เอฟ. คีน ประธานมูลนิธิโรคไตแห่งสหรัฐฯ ค้นพบอันตรายที่ว่า ผู้เป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงซึ่งมีโปรตีนในปัสสาวะสูง มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจหรือสมองขาดเลือดและอาจเสียชีวิตจากสองสาเหตุนี้ก่อนที่จะเป็นโรคไตขั้นรุงแรงก็เป็นได้ คีนกล่าวว่า ข้อมูลนี้มีความสำคัญ เนื่องจากมีผลต่อหลักปฏิบัติของแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยเพื่อควบคุมการลุกลามของโรคและยังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะผู้ป่วยซึ่งโดยทั่วไปมักจะไม่ทำกัน

    จิม เพอรี วัย 48 จากรัฐเทกซัส ทราบดีว่าการวินิจฉัยโรคในระยะต้นเป็นเรื่องสำคัญที่เขาพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคไตหลังตรวจร่างกายเพื่อสมัครทำประกันชีวิต จึงต้องควบคุมอาหารอยู่นานหลายปี โดยไม่ต้องล้างไต เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว หลังรับการวินิจฉัยโรคมา 20 ปี เพอรีก็ได้รับการเปลี่ยนไตในที่สุด เขากล่าวว่า

    "ผมโชคดีเป็นพิเศษ จวบจนได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว ผมก็ยังไม่เคยมีอาการรุนแรงอะไร นอกจากขาบวมเล็กน้อย ความดันสูง และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นเพราะอยู่ในวัยกลางคนก็เป็นได้"



    คีนชี้ให้เห็นว่า เมื่อ 25 ปีก่อน ไม่มีใครตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจหาระดับคอเลสตอรอล เช่น เดียวกับสมัยนี้คือไม่มีใครสนใจเรื่องการตรวจโรคไต เขากับคนร่วมอาชีพจึงต้องคอยชักชวนให้ผู้คนเห็นความสำคัญของการตรวจหาโรคนี้เมื่อไปพบแพทย์

    วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 3 การตรวจที่ถูกมองข้าม

    วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 3
    การตรวจที่ถูกมองข้าม
    มีวิธีการตรวจง่ายๆ และราคาไม่แพงเพื่อวินิจฉัยโรคไตในระยะต้นโดยใช้แถบตรวจหาโปรตีนในปัสสาวะ เพราะปัสสาวะของทุกคนมีโปรตีนปนอยู่บ้าง การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นการวัดโปรตีนซึ่งมีปริมาณสูงกว่าปกติ ผู้เชี่ยวชาญโรคไตส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้วิธีนี้เป็นการตรวจร่างกายประจำปี
    วินเซนต์ ชู วัย 19 ได้รับการตรวจร่างกายประจำปีก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังเริ่มเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ เข่าเกิดอาการบวมและขยายลงไปเรื่อยๆจนถึงเท้าทั้งสองข้าง หมอวินิยฉัยว่าเขาอยู่ในกลุ่มอาการ "เนโฟรติก" ซึ่งเกิดจากเป็นโรคไต
     ชูต้องพักการเรียนหนึ่งปีและย้ายกลับไปอยู่บ้านในรัฐแคลิฟอร์เนีย เขากล่าวว่า "เมื่อยังเป็นวัยรุ่น เราไม่ค่อยรู้หรอกว่าร่างกายไม่ปกติ" อาการของเขาดีขึ้นหลังรักษาด้วยยาและกลับไปเรียนต่อได้ ชูบอกว่า "ถ้าหมอตรวจปัสสาวะก่อนหน้านี้ ก็อาจพบว่าเขาเป็นโรคไต่ก่อนที่อาการจะเกิดขึ้น"

    ชอน เอลเลียต ศูนย์หน้าทีมซานอันโทนิโอสเปอร์ของเอ็นบีเอ พบว่าตนเองป่วยเป็นโรคไตจากการตรวจร่างกายตามปกติ ในปีก่อนหน้านี้ เอลเลียต ทำให้แฟนๆบาสเกตบอลประหลาดใจซ้ำสอง เรื่องแรกคือการชูตลูกสำคัญที่ทำให้ทีมเป็นฝ่ายชนะในรอบชิงชนะเลิศ ต่อมาไม่นาน หลังทีมครองแชมป์เอ็นบีเอ เอลเลียตก็ประกาศว่าต้องผ่าตัดเปลี่ยนไต

    โนเอล น้องชายของเขาสละไตให้ เอลเลียตจึงได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตในเวลาต่อมา เขารู้สึกขอบคุณและกล่าวว่า "คิดขึ้นมาทีไร ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่า น้องชายช่างดีต่อผมเหลือเกิน" เมื่อหายเป็นปกติหลังผ่าตัด เขาเข้าร่วมงานกับทีมนักวิจารณ์กีฬาของสถานีโทรทัศน์และมีโครงการจะกลับไปเล่นบาสเกตบอลอาชีพอีกในฤดูการแข่งขันหน้า ทั้งยังตกลงใจเป็นโฆษกให้มูลนิธิโรคไตแห่งสหรัฐฯอีกด้วย


    (อ่านต่อที่ " วิธีตรวจง่ายๆก่อนสายเกินแก้ ตอนที่ 4  " )