BumQ 4

วิตามิน เกลือแร่ ขาดไม่ได้ตลอดชีวิต

วิมิ เกลือร่
คุณค่าสารอาหารที่ขาดไม่ได้ตลอดชีวิต
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากเห็นลูกน้อยเติบโตอย่างสมบูรณ์ มีสุขภาพแข็งแรงและพัฒนาการสมดุลทั้งร่างกาย จิตใจและสติปัญญา
 
 
แต่การที่ลูกรักจะเติบโตอย่างสมบูรณ์ที่สุดนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่และสังคมแล้วสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ละเลยไม่ได้ คือ การให้ลูกมีโภชนาการที่ดี รับประทานแต่อาหารที่มีคุณภาพ ได้สารอาหารครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ ถึงแม้ว่าเด็กๆ ต้องการสารอาหารจำพวกวิตามินและเกลือแร่ไม่มากนัก แต่ก็ขาดไม่ได้เลย เพราะจะทำให้ระบบการทำงานของร่างกายบกพร่องได้ เนื่องจากวิตามินและเกลือแร่แต่ละชนิดมีหน้าที่เสริมสร้างร่างกายแตกต่างกันไป เช่น

ซีลีเนียม
ช่วยป้องกันเซลล์เนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลาย ทั้งมีส่วนสำคัญต่อการผลิตฮอร์โมนของร่างกายหลายชนิดและช่วยบำรุงสุขภาพของเส้นผม ผิวหนัง รวมทั้งช่วยบำรุงรักษาสายตาเด็กให้เป็นปกติ

โมลิบดินัม
ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เช่น เอนไซม์ที่ช่วยผลิตไขมันเพื่อใช้ในการเติบโตของสมอง

ฟลูออไรด์
มีประโยชน์ในการทำงานร่วมกับแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันให้ลูกน้อยฟันไม่ผุ

โครเมียม
มีส่วนช่วยในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินที่ควบคุมระดับน้ำตาล ช่วยควบคุมระดับไขมันและระดับโคเลสเตอรอลในเลือด

ม้ว่าวิตามินบางชนิดร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้ แต่วิตามินและเกลือแร่ส่วนใหญ่แล้วร่างกายเราผลิตเองไม่ได้ต้องรับประทานให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
 
 
สำหรับเรื่องอาหารและโภชนาการของลูกๆนั้น ผู้เป็นพ่อและแม่คงดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักและความตั้งใจเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าการเลือกอาหารบางประเภท เช่น นมสำหรับเด็กหรืออาหารเสริมต่างๆ คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องเพิ่มความพิถีพิถันมากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดเองก็มีความแตกต่างกันในปริมาณของวิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นเมื่อเลือกซื้อนมและอาหารเสริมควรดูตารางสารอาหารว่ามีวิตามินและเกลือแร่ที่ครบถ้วนตามความต้องการหรือไม่ เพราะเมื่อลูกน้อยได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ลูกน้อยก็จะมีพัฒนาการที่ดี พร้อมที่จะเติบโตเป็นเด็กที่สมบูรณ์อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ปรารถนา และทุ่มเทแรงการแรงใจมาตลอด.

คุณอายุจริงเท่าไร

คุณอายุจริงเท่าไร
ลองทำเลขชุดนี้ดู คุณอาจอายุน้อยกว่าที่คิด
ซมอน แซด เพื่อนผม เป็นคนแกร่งมุ่งมั้นเด็ดเดี่ยวอย่างหาตัวจับยาก แต่ต้องเผชิญโรคร้ายเกี่ยวกับเส้นโลหิตและระบบการหมุนเวียนโลหิต ผมกลัวว่าไซมอน ซึ่งสูบบุหรี่มาตลอดชีวิตจะอยู่เป็นเพื่อนผมได้ไม่นาน

วันหนึ่งผมถามเขาว่า
"ไซมอน คุณอายุเท่าไหร่แล้ว"
"ไมก์" เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "คุณก็รู้นี่ว่าผมอายุ 49"
"แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าการสูบบุหรี่ทำให้คุณแก่มากกว่านั้น ตอนนี้คุณอายุ 57 แล้วนะ"

ไม่มีใครในครอบครัวของไซมอนอยู่ถึงอายุ 57 ปี เขาจึงเข้าใจทันทีว่าผมหมายความอย่างไร

ผมเชื่อว่าความแตกต่างระหว่างอายุตามปฏิทินกับอายุจริงของคนเรา เป็นผลจากสุขนิสัยเป็นเรื่องสำคัญ เราอาจคำนวณหาอายุทางกายภาพของเราเปรียบเทียบกับคนอื่นๆได้โดย ให้ค่ากิจกรรมต่างๆเป็นตัวเลข แล้วเอามาบวกเข้าหรือลบออกจากอายุตามปฏิทินของเรา

ผมคิดระบบนี้ขึ้นมาโดยใช้วิธีการทางสถิติกับองค์ประกอบทางสุขภาพกว่า 125 รายการ หากรวบรวมตัวเลขจากคำตอบทุกข้อในแบบสำรวจฉบับสมบูรณ์แล้วนำไปคูณกับตัวคูณของกลุ่มอายุ คุณก็จะได้อายุทางกายภาพหรืออายุ "จริง"

เมื่อตอบคำถามต่อไปนี้ คุณก็จะพอรู้คร่าวๆว่ากำลังแก่ลงอย่างรวดเร็วกว่า หรือ แก่ช้ากว่าเพื่อนร่วมวัย แต่คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำทีเดียว เพราะคำถาม คัดมาเพียงสิบข้อจากแบบสอบถามฉบับสมบรูณ์ ขอให้ใส่เครื่องหมายบวกหรือลบในคำตอบด้วย เช่น ถ้าบอกว่า "บวก 2 ปี" ก็หมายความว่า +2

1. ความดันโลหิตของคุณเป็นเท่าไร
ก. 90/65 ถึง 120/81 : ลบออก 3 ปี
ข. 131/87 ถึง 140/90 : บวก 1
ค. 141/91 ถึง 150/95 : บวก 2
ง. ถ้าสูงกว่า 151/96 บวก 3

2. คุณกินอาหารมื้อเช้าดีๆบ่อยเพียงใด
ก. เกินกว่าห้าครั้งต่อสัปดาห์ : ลบออก .5 ปี
ข. สองหรือสามครั้งต่อสัปดาห์ : บวก .5 ปี
ค. ไม่ถึงสองครั้งต่อสัปดาห์ : บวก 1

3. คุณนอนหลับโดยเฉลี่ยคืนละเท่าไร
ก. 6.5 ถึง 7.5 ชั่วโมง : ลบออก 1 ปี
ข. 7.5 ถึง 8.5 ชั่วโมง : ลบออก .5 ปี
ค. ไม่ถึง 6.5 ชั่วโมง : บวก 1
ง. เกิน 8.5 ชั่วโมง : บวก 1.5

4. ช่วงสามปีที่ผ่านมา คุณใช้เวลาโดยเฉลี่ยวันละเท่าไรเพื่อออกกำลังเช่น เดิน
ก. เกิน 15 ชั่วโมง : ลบออก 1.5 ปี
ข. เกินหนึ่งชั่วโมง : ลบออก 1
ค. เกินกว่า 20 นาที : ลบออก .5
ง. ห้าถึงสิบนาที : บวก .5
จ. ไม่ถึงห้านาที : บวก 1
ฉ. ไม่เลย : บวก 1.5

5. คุณดื่มแอลกอฮอล์วันละเท่าใด   (การดื่ม 1 หน่วย หมายถึง ไวน์ .1 ลิตร, เบียร์ .3 ลิตร หรือสุรา .05 ลิตร)
ก. หนึ่งหรือสองหน่วย : ชายอายุเกิน 40 ลบออก 1
ข. .5 ถึงหนึ่งหน่วย : ชายอายุเกิน 40 และหญิงอายุเกิน 50 ลบออก .5
ค. ศูนย์ถึง .5 หรือ สองถึง 2.5 หน่วย ชายอายุต่ำกว่า 40 บวก 1
ง. ศูนย์ถึง .5 หรือ หนึ่งถึง 2.5 หน่วย หญิงอายุต่ำกว่า 50 บวก 1
จ. เกินสาม : บวก 1.5

6. แต่ละวัน คุณกินผลไม้กี่ครั้ง
ก. ตั้งแต่สี่ครั้งขึ้นไป : ลบออก 1 ปี
ข. ไม่เลย : บวก 1

7. พ่อแม่ของคุณมีชีวิตอยู่ถึงอายุเท่าไร
ก. เกิน 75 ปีทั้งคู่ : ลบออก 1.5 ปี
ข. แม่อยู่เกิน 75 ปีคนเดียว : ลบออก 1
ค. พ่ออยู่เกิน 75 ปีคนเดียว : ลบออก .5
ง. ไม่มีใครอยู่เกิน 75 ปี : บวก 1.5

8. สถานภาพทางการสมรสของคุณเป็นอย่างไร
ก. แต่งงานแล้วและมีความสุขดี : ชายลบออก 1.5 ปี หญิงลบออก .5
ข. ชายหย่าร้างหรือหญิงเป็นม่าย : บวก 1
ค. หญิงหย่าร้าง : บวก 2
ง. ชายโสด : บวก 3

9. จำนวนญาติมิตรที่คุณพบปะเดือนละเกินหนึ่งครั้ง

ก. หกคน : ลบออก 1.5 ปี
ข. สามถึงห้าคน : ลบออก 1
ค. สองคน : ลบออก .5
ง. ไม่มีเลย : บวก 2

10. คุณเลี้ยงสุนัขหรือเปล่า
ก. เลี้ยง : ลบออก .5 ปี

รวบรวมจำนวนปีจากคำตอบทุกข้อ แล้วคูณผลลัพธ์ที่ได้กับจำนวนต่อไปนี้ :
.3 ถ้าคุณอายุต่ำกว่า 40 ปี
.4 ถ้าอยู่ในช่วง 40 ถึง 49
.5 ถ้าอยู่ในช่วง 50 ถึง 59
.6 ถ้าอยู่ในช่วง 60 ถึง 69
.5 ถ้าอยู่ในชวง 70 ถึง 79
.4 ถ้าอยู่ในช่วง 80 ถึง 89
.3 ถ้าอยู่ในช่วง 90 ถึง 99 ปี

ท้ายที่สุด นำตัวเลขที่ได้ซึ่งจะมีค่าเป็นจำนวนบวกหรือติดลบนี้ ไปรวมกับตัวเลขอายุตามจำนวนปีของคุณ ก็จะได้คำตอบเป็นอายุ "จริง" หรืออายุกายภาพโดยประมาณของคุณ

คุณพอใจตัวเลขที่ได้หรือไม่?  ถ้าไม่พอใจก็มีข่าวดีจะบอก คุณทำให้ตัวเลขนี้ดีขึ้นได้ เพียงแต่ตัดสินใจจะดูแลร่างกายของตัวเอง

  • ถ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เคยมีประวัติว่ามีปัญหาการไหลของเลือดหรือมีอาการต่อต้านแอสไพริน ก็ให้กินแอสไพรินขนาด 80 ถึง 325 มิลลิกรัม วันละเม็ด เพื่อช่วยไม่ให้เส้นเลือดอุดตันและลดการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • ใช้ไหมขัดฟันและแปรงฟันทุกวันเพราะจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคเหงือกนั้นจะทำให้เกิดการอักเสบได้ทั่วร่างกายรวมถึงในเส้นโลหิตด้วย
  • ทั้งวิตามินซีและอี ดูเหมือนจะช่วยทำให้หลอดเลือดโล่ง กินวิตามินอีขนาด 400 ไอยู วันละเม็ด และกินอาหารที่มีวิตามินซีวันละสามมื้อ
  • มีเพศสัมพันธ์ เพราะจะช่วยลดความเครียดและทำให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
  • หาสุนัขมาเลี้ยง คนที่เลี้ยงสุนัขจะคงความเยาว์วัยอยู่ได้นานกว่า ซึ่งอาจเป็นเพราะได้ออกกำลังไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้คนเลี้ยงแมวไม่เกี่ยว
    ไซมอนเลิกสูบบุหรี่ เริ่มออกกำลังและกินอาหารอย่างถูกต้องเมื่อ 14 ปีที่แล้ว ผลที่ได้รับนั้นมหาศาล เมื่อสองปีก่อน เขาโทรฯบอกผมด้วยความดีใจว่า "ไมก์ ผมได้เป็นปู่แล้ว"

    4 คำถามเกี่ยวกับข้าวโอ๊ตและสุขภาพ

    4 คำถาม
    เกี่ยวกับข้าวโอ๊ตและสุขภาพ
    ารออกกำลังกาย กินอยู่ถูกต้องและไม่เครียดคือหนทางสู่สุขภาพที่ดี ทั้งยังหลีกลี้จากโรคภัย ผู้ที่จำเป็นต้องมีความเป็นอยู่เร่งรีบก็มองหาหนทางลัดสู่สุขภาพ หนึ่งในหนทางเหล่านั้นคืออาหารสุขภาพที่มีประโยชน์ เตรียมง่าย และมีรสอร่อย ซึ่งหนึ่งในอาหารดังกล่าวได้แก่ข้าวโอ๊ต แม้จะไม่ใช่ของใหม่ แต่ข้าวโอ๊ตก็มีคุณสมบัติพิเศษที่เราอาจจะยังไม่ทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันมะเร็งบางชนิด

    ลองมาทำความรู้จักกับข้าวโอ๊ตกันดีไหม

    1.ถาม : ข้าวโอ๊ตต่างจากข้าวอื่นๆอย่างไร
    ข้าวโอ๊ตเป็นเมล็ดธัญพืชตระกูลเดียวกับข้าวเจ้า ข้าวสาลี มีแหล่งผลิตสำคัญอยู่ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา รัสเซีย ยุโรป และออสเตรเลีย ชาวทวีปอเมริกาและยุโรปนิยมบริโภคมานับร้อยปีแล้ว คุณค่าทางอาหารคือเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยม มีโปรตีนสูงกว่าข้าวสาลี ข้าวโพด และข้าวเจ้า นอกจากนั้น ใยอาหารในข้าวโอ๊ตยังมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย

    เนื่องจากข้าวโอ๊ตในสภาพธรรมชาติต้องใช้เวลานานในการหุงหา กระบวนการผลิตสมัยใหม่จึงนำข้าวโอ๊ตมาผ่านความร้อน สีเพื่อขัดเปลือกออก ตัดเป็นชิ้นเล็กผ่านไอร้อน แล้วนำมาบรรจุกระป๋อง พร้อมจะใช้เตรียมอาหารให้เสร็จเรียบร้อยได้ภายในไม่ถึงห้านาที

    ข้าวโอ๊ตที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยมีสองชนิด คือ
    • ข้าวโอ๊ตสุกเร็ว สำหรับต้มประมาณ 3-5 นาที
    • ข้าวโอ๊ตปรุงสำเร็จสำหรับชงรับประทาน

    ข้าวโอ๊ตยังมีคุณค่าทางอาหารอื่นๆอย่างเหลือเฟือ ได้แก่ แคลเซียมซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยการทำงานของระบบประสาทและคลายเครียด มีธาตุเหล็กซึ่งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและวิตามินบี1 ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตและช่วยการหมุนเวียนของโลหิต คุณสมบัติด้านโภชนาการซึ่งเด่นที่สุดของข้าวโอ๊ต คือ ลดคอเลสเตอรอลและลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

    2.ถาม : คอเลสเตอรอลคืออะไร
    คอเลสเตอรอลที่เรากลัวกันเป็นสารคล้ายไขมันอยู่ในกระแสเลือด ร่างกายเราสร้างคอเลสเตอรอลขึ้นมา 70% ส่วนอีก 30% มาจากอาหารที่เรารับประทาน จึงพึงหลีกเลี่ยง เนื้อสัตว์ เครื่องใน และอาหารไขมันสูงอื่นๆ

    คอเลสเตอรอลแบ่งออกเป็นสองชนิด ได้แก่
    • คอเลสเตอรอลชนิดร้าย หรือ LDL (Low Density Lipoprotein) มีผลร้ายต่อร่างกายคือ ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดและเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
    • คอเลสเตอรอลชนิดดี หรือ HDL (High Density Lipoprotein) มีคุณสมบัติปกป้องหัวใจ ช่วยนำคอเลสเตอรอลชนิดร้ายลงสู่ตับ แล้วเกิดกระบวนการขจัดออกจากร่างกายต่อไป
    3.ถาม : ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่กินแล้วอิ่มท้องให้พลังงาน
    เหตุใดจึงสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
    ถ้าจะเข้าใจคุณสมบัติอันวิเศษของข้าวโอ๊ตในเรื่องนี้ เราต้องมาทำความรู้จักกับเรื่องใยอาหารเสียก่อน

    ใยอาหาร (Fibre) มีสองชนิด และทั้งสองชนิดล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย
    • Insoluble fibre เป็นใยอาหารชนิดไม่ละลายในน้ำ ส่งผลให้ร่างกายมีการขับถ่ายคล่อง มีใยอาหารชนิดนี้มากในข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต กล้วย ดอกกะหล่ำและถั่ว
    • Soluble fibre ใยอาหารชนิดละลายได้ในน้ำ มีคุณสมบัติสูงในการขจัดคอเลสเตอรอล ช่วยลดระดับความดันโลหิตในร่างกาย และช่วยให้ขับถ่ายคล่องเช่นกัน จึงลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสำไส้ใหญ่ ใยอาหารชนิดนี้มีมากในข้าวโอ๊ต

    องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริการะบุไว้เมื่อปี 1977 ว่าควรบริโภคข้าวโอ๊ตวันละ 1.5 ถ้วย โดยบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของอาหารไขมันต่ำที่รับประทานเป็นประจำ ข้าวโอ๊ตจำนวนนั้นมีใยอาหารแบบ Soluble fibre 3 กรัม จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและระดับความดันโลหิตรวมทั้งลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้

    ข้าวโอ๊ตมี Soluble fibre ซึ่งจะทำหน้าที่กวาดคอเลสเตอรอลชนิดร้าย ที่เป็นส่วนเกินก่อนจะถูกดูดซับโดยร่างกาย จากการศึกษาพบว่า คนไข้โรคหัวใจที่บริโภคข้าวโอ๊ตสม่ำเสมอจะมีปริมาณคอเลสเตอรอลลดลง 27%

    ดังนั้นไม่ว่าจะเตรียมข้าวโอ๊ตด้วยวิธีใด ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการลดคอเลสเตอรอลชนิดร้ายและช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ทั้งสิ้น

    4.ถาม : เหตุใดข้าวโอ๊ตจึงเหมาะจะกินเป็นอาหารเช้า
    ปัจจุบัน เราตระหนักดีถึงความสำคัญของมื้อเช้า เพราะอาหารเช้าจะป้อนพลังงานชุดแรกหลังตื่นนอน ให้ร่างกายได้ค่อยๆดูดซับอาหารทีละน้อยไปใช้ในกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะเริ่มวุ่นวายตั้งแต่เช้าตรู่

    คาร์โบไฮเดรต แหล่งพลังงานของร่างกายแบ่งเป็น
    • คาร์โบไฮเดรตแบบเชิงเดี่ยว ได้จากน้ำตาลในขนมและน้ำอัดลม ย่อยง่าย ดูดซับเร็ว และมีคุณค่าทางอาหารน้อย
    • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จะค่อยๆปล่อยพลังงานให้ร่างกายดูดซับไปใช้ได้เป็นระยะเวลานาน แถมยังเป็นพลังงานซึ่งพร้อมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ คนที่มีกิจกรรมมากควรรับประทานอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในสัดส่วนครึ่งหนึ่งของอาหารทั้งหมด
    คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนพร้อมใยอาหารมีมากในข้าวโอ๊ต ขนมปัง และผลไม้

    อาหารที่ดีควรช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซับวิตามินและแร่ธาตุได้นาน ใยอาหารแบบ Soluble fibre ของข้าวโอ๊ตช่วยรักษาระดับน้ำตาลกลูโคส ทำให้อิ่มท้อง ไม่หิวง่าย มีพลังงานเหลือเฟือสำหรับการงานตั้งแต่เริ่มต้นวันใหม่

    เมื่อรู้จักข้าวโอ๊ตดีขึ้น รวมทั้งเข้าใจคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมแก่การกินเป็นอาหารเช้าแสนอร่อย คุณจะไม่หันมาลองรับประทานข้าวโอ๊ตกันดูบ้างหรือ

    สำหรับคุณที่อาจจะยังไม่คุ้นกับธัญพืชรสอร่อยและมากด้วยคุณสมบัติในการป้องกันโรคภัยชนิดนี้ ลองเพิ่มคุณค่าง่ายๆด้วยการผสมข้าวโอ๊ตในเครื่องดื่ม กาแฟ นม หรือผสมในข้าวต้ม ข้าวสวย หากมีเวลาอีกนิด ลองใช้ข้าวโอ๊ตเป็นเครื่องปรุงอาหารทั่วไปทั้งคาวหวาน เช่น วุ้นข้าวโอ๊ต บัวลอยข้าวโอ๊ต ไก่ทอดข้าวโอ๊ต ลาบข้าวโอ๊ต และโจ๊กข้าวโอ๊ต เป็นต้น.

    อร่อยแล้วยังช่วยลดน้ำหนัก

    อร่อยแล้วยังช่วยลดน้ำหนัก
    ตัวอย่างรายการอาหารถูกปากที่กินบ่อย แต่ไม่อ้วน
    มื่อคุณควบคุมน้ำหนักตัว อาหารที่เลือกกินควรให้คุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายต้องการให้พลังงานเพียงพอ และควรอร่อยถูกปากด้วย นักโภชนาการแนะว่าอาหารของเราควรประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้แก่ผัก ผลไม้ อาหารพวกแป้ง ข้าวและธัญพืช ร้อยละ 55 มีโปรตีนได้ไม่เกินร้อยละ 15 และไขมันไม่เกินร้อยละ 30 หากอาหารสมดุลเช่นนี้ เราจะไม่รู้สึกหิวโหยระหว่างการลดน้ำหนัก


    หลายคนมักสงสัย ว่าแล้วเราจะเลือกกินอะไรดีถ้าต้องกินแต่เม็ดแมงลักหรือหัวบุกชีวิตคงแห้งแล้งแย่ นอกจากนั้น การอดอาหารที่ถูกปากมักทำให้น้ำหนักขึ้นลงฮวบฮาบ "ถ้ามัวจดจ่อแต่เรื่องอาหารที่ไม่ควรกิน ก็มักจะทำให้ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ" คาเรน มิลเลอร์โควัค ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโปรแกรมที่สถาบันควบคุมน้ำหนักเวตวอตเชอร์อินเตอร์เนชั่นแนลอธิบาย การลดน้ำหนักที่ได้ผลควรมาจากการเลือกกินอาหารที่ชอบในปริมาณที่พอเหมาะ

    อาหารลดน้ำหนักจึงไม่จำเป็นต้องจืดชืดเสมอไป เราอาจนึกไม่ถึงว่าอาหารรสอร่อยต่อไปนี้อาจช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย
     
    กล้วยอาหารที่อุดมด้วยโพแทสเซียมอย่างกล้วยอาจช่วยลดความดันโลหิตและมีเพียง 60 แคลอรีต่อลูกแทบไม่มีไขมันแถมยังอร่อยสมใจคนชอบกินของหวาน

    ไก่จะย่าง อบ หรือทำให้สุกด้วยเตาไมโครเวฟก็ได้ตามใจคุณ เนื้อไก่ครึ่งอกเลาะหนังและไขมันออกแล้ว (หนักราวเกือบขีด) มี 140 แคลอรี มีไขมันเพียงสี่กรัมและโปรตีนมากมาย

    แกงเลียงเป็นแกงร้อนๆซดแล้วชื่นใจที่ทำไม่ยาก หากไม่อยากโขลกเครื่องแกงเองก็มีเครื่องแกงเลียงสำเร็จรูปขายทั่วไป แกงเลียงหนึ่งถ้วยมีไม่เกิน 100 แคลอรี ให้พลังงานและไขมันต่ำ แถมยังได้ธาตุเหล็กจากใบแมงลัก และเบตาแคโรทีนจากฟักทองด้วย

    กุ้งแชบ๊วยแม้จะต้องระวังคอเลสเตอรอลไว้บ้าง แต่ก็มีไขมันอิ่มตัวน้อย และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจกุ้งแชบ๊วยราวหนึ่งขีดเผาหรือต้มมีเพียง 80 แคลอรี และมีไขมันน้อยกว่าหนึ่งกรัม

    ข้าวโพดคั่วอยากกินของขบเคี้ยวเค็มๆมันๆ หรือ ลองข้าวโพดคั่วสิ ข้าวโพดคั่วหนึ่งถ้วยครึ่งกับเนยเล็กน้อยมีไม่ถึง 70 แคลอรี แต่ต้องระวังปริมาณเนยซึ่งมีไขมันอยู่ และหากเป็นข้าวโพดคั่วชนิดหวานใส่คาราเมลก็จะมีแคลอรีสูงขึ้น

    ขนมจีนอาหารจานด่วนแบบไทยๆชนิดนี้ หนึ่งจานให้คาร์โบไฮเดรตที่คุณต้องการ มีไขมันน้อย และโปรตีนในปริมาณพอเหมาะ ขนมจีนน้ำยาหนึ่งจานมีราว 130 แคลอรี ขนมจีนซาวน้ำกับไข่ต้มหนึ่งในสี่ลูกมีราว 250 แคลอรี กินกับผักสดก็ดีมีประโยชน์

    แคนตาลูปนำไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆราวหนึ่งถ้วยจะมีเบตาแคโรทีนและวิตามินซีเท่าน้ำส้มคั้นครึ่งถ้วย มีเพียง 40 แคลอรีและมีไขมันน้อยกว่ากรัม

    เฉาก๊วยหั่นเฉาก๊วยลงในถ้วยขนมสักสองสามช้อนโต๊ะ เติมน้ำเย็น น้ำแข็งแล้วใส่น้ำเชื่อมเล็กน้อย ของว่างเย็นชื่นใจถ้วยนี้มีเพียง 70 แคลอรี

    เต้าหู้อาหารมังสวิรัติรสอร่อยนี้ ใช้ทดแทนโปรตีนจากเนื้อวัว หมู ไก่ ที่ไขมันได้เป็นอย่างดี ใช้ผัด แกง หรือใส่ต้มจับฉ่ายก็ได้ เต้าหู้หนึ่งขีดมีไม่ถึง 100 แคลอรี แต่ต้องระวังเต้าหู้ทอด ซึ่งจะมีแคลอรีเพิ่มมากมาย

    น้ำพริกอาหารที่มีรสเผ็ด เค็ม หวาน เปรี้ยวอย่างพอเหมาะนี้ แบ่งเป็นน้ำพริกแห้งเก็บไว้กินได้นานกับน้ำพริกผักจิ้ม ได้แก่ผักทั้งสดและลวกแล้วน้ำพริกกะปิหนึ่งช้อนโต๊ะมี 24 แคลอรี ส่วนน้ำพริกแห้งให้พลังงานมากกว่าเล็กน้อย

    น้ำเต้าหู้
    อุดมด้วยไฟโตเอสโตรเจนซึ่งเชื่อว่ามีส่วนช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านม แถมยังมีโปรตีนสูง น้ำเต้าหู้หนึ่งแก้วไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม มีเพียง 150 แคลอรีและมีไขมันไม่อิ่มตัวเพียงสามกรัม

    ปลาทูน่าปลาทูน่ากระป๋องในน้ำเกลือราวครึ่งถ้วยมี 120 แคลอรี มีไขมันเพียง 2.5 กรัม และมีโปรตีน 23 กรัม

    ปลาหมึกแห้งของว่างเคี้ยวเพลินชนิดนี้ในห่อขนาด 40 กรัม มีเพียง 120 แคลอรี่ อุดมไปด้วยโปรตีนและมีธาตุเหล็กด้วย

    ฝรั่งผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว กรอบฉ่ำน้ำ กินอิ่มอร่อย ฝรั่งมีวิตามินซี 8 เท่าของส้มเขียวหวาน ฝรั่งเวียดนามผลขนาดกลางมีเพียง 80 แคลอรี

    ทอฟฟี่รสนมความอยากของหวานมักทำให้ผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักพลาดพลั้งกินอาหารไขมันสูงไปด้วย ทอฟฟี่รสนมเคี้ยวและอมเล่นให้รสหวานมันอยู่ราว 10 นาทีจนหายอยาก แต่มีไขมันแค่ 2.5 กรัม และมีเพียง 60 แคลอรี


    ส้มตำของว่างรสแซบจากนี้เป็นที่นิยมทั่วไป กุ้งแห้ง ถั่วลิสง และผักต่างๆ มีคุณค่าทางอาหาร ยางจากมะละกอดิบมีสารพาเพอิน เป็นเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน


    สับปะรดหวานชื่นใจ ชิ้นหนักราวขีดกว่าให้เส้นใยอาหาร มีวิตามินซีเพียงพอต่อความต้องการในหนึ่งวัน มีแค่ 70 แคลอรีและไม่มีไขมันเลย จะกินอย่างผลไม้หรือหั่นใส่ผัดผักหรือแกงเผ็ดก็อร่อย


    อกเป็ดเนื้อสัตว์ส่วนนี้อาจหาซื้อยากสักหน่อยแต่ก็อร่อย เนื้ออกเป็ดเลาะหนังออก นำมาย่าง (ไม่ใช่เป็ดย่างซึ่งไขมันสูง) ราวหนึ่งขีดมีเพียง 190 แคลอรี่ มีไขมันเพียงร้อยละห้าถึงสิบ ทั้งยังอุดมด้วยธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินบี

    ประโยชน์น่าทึ่งของแอสไพริน

    ประโยชน์น่าทึ่งของแอสไพริน

    แอสไพรินอาจเป็นยาที่คนรู้จักมากที่สุดในโลกและสรรพคุณไม่ได้จำกัดเพียงการรักษาอาการเจ็บปวด การศึกษาใหม่ๆพบว่าแอสไพรินสามารถต่อสู่โรคร้ายแรงได้หลายชนิด "ปัจจุบันพบว่ายานี้มีผลต่อสุขภาพหลายด้าน ดิฉันจึงแนะนำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ไม่แพ้แอสไพรินและไม่มีปัญหาเรื่องเลือดออกกินในปริมาณต่ำ" แพทย์หญิงเดบรา จูเดลสัน ผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ สถาบันหัวใจสตรีในรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าว

    ต่อไปนี้คือโรคและอาการสำคัญบางอย่างที่สามารถป้องกันได้ด้วยแอสไพรินหรือยาที่มีฤทธิ์เหมือนแอสไพริน เช่น ยาในกลุ่มซาลิซิลเลท (ยาลดอักเสบที่ฤทธิ์เหมือนแอสไพริน เช่น เพนนิลบูตาโซนและอิมโพรเฟน ส่วนใหญ่ใช้แก้ปวดข้อ ไม่มีฤทธิ์ต่อระบบอื่นเหมือนแอสไพริน)

    โรคอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อม

    "งานวิจัยในอดีตที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการอับเสบในสมองมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม" นายแพทย์ริชาร์ด บี. ลิปทัน ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชระบบประสาทและระบาดวิทยาแห่งวิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ในนครนิวยอร์กกล่าวว่า ผลการศึกษาที่บ่งชี้ว่า ผู้ได้รับยาแก้อาการอักเสบเป็นประจำในการรักษาโรคอื่นๆเช่นข้ออักเสบหรือเพื่อป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดมักไม่ค่อยเป็นโรคสมองเสื่อม

    "ผู้สูงอายุที่ได้รับแอสไพรินมีอัตราการเป็นโรคความจำเสื่อมลดลง" นายแพทย์ชาลส์ เอช. เฮนเนเกนส์แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยไมอามี กล่าว "ดังนั้นแอสไพรินอาจไม่ได้มีผลเฉพาะโรคสมองเสื่อมเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อผู้ป่วยจำนวนมากที่ความจำเสื่อมเมื่ออายุมากขึ้น"


    โรคหัวใจที่มีเบาหวานร่วมด้วย
    นักวิจัยพบข้อมูลว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีการผลิตสารที่ทำให้เกล็ดเลือดรวมตัวเป็นก้อนที่เรียกว่าทรอมบอกเซน (Thromboxane) เพิ่มขึ้น และผลการปฏิกิริยานี้ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าผู้ไม่ได้เป็นเบาหวานสองถึงสี่เท่า
    แอสไพรินช่วยป้องกันโรคหัวใจที่เกิดร่วมกับโรคเบาหวานโดยมีส่วนขัดขวางการผลิตทรอมบอกเซน การศึกษาครั้งสำคัญซึ่งควบคุมโดยหมอเฮนเนเกนส์พบว่าผู้ได้รับแอสไพรินสามารถลดภาวะหัวใจขาดเลือดได้ถึงร้อยละ 44 และลดได้มากขึ้นในผู้ที่เป็นเบาหวาน สมาคมโรคเบาหวานสหรัฐฯแนะให้ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานกว่า 14 ล้านคนใช้แอสไพรินในขนาดต่ำเพื่อลดอุบัติการของโรคหัวใจและหลอดเลือด

    โรคมะเร็ง
    ความสนใจที่จะใช้แอสไพรินป้องกันโรคมะเร็งเริ่มจริงจังขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา "มีการทดลองที่บ่งชี้ว่า ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ซึ่งรวมถึงแอสไพรินป้องกันการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดรวมทั้งมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลอดอาหาร และกระเพาะอาหารด้วย" นายแพทย์ไมเคิล ทัน รองประธานด้วยวิจัยการระบาดและเฝ้าระวังของสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐฯ กล่าว

    ที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีการศึกษาสุขภาพของพยาบาลในระยะยาว พบว่า อุบัติการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักลดลงถึงร้อยละ 30 ในผู้ที่ใช้แอสไพรินสม่ำเสมอเป็นเวลาสิบถึง 19 ปีและลดลงร้อยละ 44 ในผู้ที่ใช้ยานี้สม่ำเสมอนานกว่า 20 ปี

    ภาวะหัวใจพิบัติหรือขาดเลือด
    คนจำนวนมากรู้ว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯหรือเอฟดีเอแนะให้ใช้แอสไพรินป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดในผู้ที่เป็นโรคหัวใจ แต่น้อยคนจะรู้ว่ายานี้สามารถช่วยได้เมื่อเริ่มมีอาการ ในปี 2541 เอฟดีเอแนะให้ผู้ที่เริ่มมีอาการหัวใจขาดเลือดกินแอสไพรินทันที จากการศึกษาผู้ป่วยทั่วโลกจำนวน 17,187 ราย ซึ่งควบคุมโดยหมอเฮนเนเกนส์พบว่า การกินแอสไพรินภายใน 24 ชั่วโมงเมื่อมีอาการหัวใจขาดเลือดจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ร้อยละ 23

    หมอจูเดลสันเป็นคนแรกที่พบประโยชน์ของยานี้ ขณะอยู่บนเครื่องบิน ผู้โดยสารคนหนึ่งเกิดอาการหน้าซีด เจ็บหน้าอก และหายใจไม่ออก หมอจึงให้แอสไพรินสองเม็ดทันที ครู่ต่อมาผู้ป่วยก็หายปวด พร้อมทั้งหายใจดีขึ้นและหน้าหายซีด

    เมื่อส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล แพทย์พบว่าเส้นเลือดหัวใจเส้นหนึ่งอุดตันถึงร้อยละ 95 หมอจูเดลสันกล่าวว่า "แพทย์แก้ไขการอุดตันของเส้นเลือดและให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้หลังจากนั้นสองวัน" แอสไพรินทำให้ลิ่มเลือดที่อุดตันอยู่ในเส้นเลือดสลายตัว

    หมอจูเดลสันแนะว่า "ถ้าคุณคิดว่ากำลังมีอาการหัวใจขาดเลือด ให้เคี้ยวแอสไพรินสักสองเม็ด การเคี้ยวจะทำให้ยาดูดซึมได้เร็วกว่าการกลืน ในภาวะหัวใจขาดเลือดเวลาแต่ละนาทีมีความสำคัญต่อกล้ามเนื้อหัวใจ ยิ่งรอนาน กล้ามเนื้อจะยิ่งถูกทำลายมากขึ้น"

    อาการหูหนวกที่เกิดจากยาปฏิชีวนะ

    มีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าอาการหูหนวกซึ่งเกิดจากยาปฎิชีวนะที่ใช้บ่อย ได้แก่ อะมิโนกลัยโคไซด์ (Aminoglycosides) สามารถป้องกันได้โดยการให้แอสไพรินร่วมด้วย "ยาปฏิชีวนะนี้เป็นที่นิยมทั่วโลก เราประเมินว่าร้อยละสิบของผู้ป่วยที่อยู่ในโรงพยาบาลได้รับยาอะมิโนกลัยโคไซด์" โจเคน ชาร์ต ศาสตราจารย์ชีวเคมีแห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน อธิบาย

    ขณะเดียวกัน หมอชาร์ตกล่าวว่า "องค์การอนามัยโลก จัดให้ยานี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการหูหนวกชนิดที่ป้องกันได้" ยานี้สามารถรวมตัวกับธาตุเหล็กในร่างกายเป็นอนุมูลอิสระซึ่งเป็นโมเลกุลที่สามารถทำลายเซลล์ รวมทั้งเซลล์ขนจำนวนหลายพันที่อยู่ในหู เมื่อเซลล์ขนถูกทำลาย หูชั้นในจะไม่สามารถรับคลื่นเสียง ทำให้เกิดหูหนวกถาวร การศึกษาขั้นต้นในสัตว์ทดลองพบว่าตัวยาซาลิซิลเลทซึ่งเกิดจากการสลายตัวของแอสไพรินในร่างกายสามารถป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่ทำให้อาการหูหนวกจากยาปฏิชีวนะ
    ก่อนใช้ยาแอสไพรินเป็นประจำทุกวันควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว แม้แพทย์จะเห็นประโยชน์ของการใช้แอสไพริน แต่จะเตือนว่าการใช้แอสไพรินในบางคนอาจมีความเสี่ยงเนื่องจากทำให้เลือดใส ขัดขวางการเกิดลิ่มเลือด มีผลทำให้เลือดออกมากขึ้น ดังนั้น การใช้แอสไพรินเป็นประจำอาจไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคระบบย่อยอาหารเลือดออกในกระเพาะ ลำไส้ หรือมีปัญหาเลือดออกอย่างอื่น ผู้เตรียมตัวผ่าตัดแม้เป็นการผ่าเล็กน้อย หากใช้แอสไพรินอยู่ก็ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ และไม่แนะนำให้ใช้แอสไพรินในเด็กและวัยรุ่น เพราะอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการรายส์ (Reye's) ซึ่งเป็นโรคในเด็กที่พบไม่บ่อยแต่เป็นอันตราย

    อย่างไรก็ดี แอสไพรินอาจเป็นยาป้องกันโรคร้ายสำหรับคนส่วนใหญ่อย่างที่หมอเฮนเนเกนส์เรียกว่า "ยาวิเศษแห่งศตวรรษที่ 21"